จับโกหกคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ กรณีบทความเรื่อง “ข้าวโพด สาเหตุแห่งการทำลายป่า น้ำแล้งและหมอกควันพิษ”
จับโกหกคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
กรณีบทความเรื่อง “ข้าวโพด สาเหตุแห่งการทำลายป่า น้ำแล้งและหมอกควันพิษ”
...................................................................................................................................................................
ย้อนรอยนิดหนึ่งครับ คุณวันชัยเขียนบทความนี้ลงในสารคดีเดือนเมษายน 2558 ในตอนนั้นคุณวันชัยดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาธารณะแห่งประเทศไทย (ThaiPBS) และอดีต บก.นิตยสารสารคดี บทความนี้ขาดข้อมูลข้อเท็จจริง ผมจึงได้เขียนตอบโต้ไปทีละประเด็น หลังบทความผมเขียนตอบโต้ คุณวันชัยได้ประสานผ่านทางคุณนิคม พุทธา ขอให้ผมลบบทความนี้ออก เนื่องจากไปทำลายเครดิตคุณวันชัย ในวันนั้นผมต่อลองกับคุณนิคม พุทธา ให้แก้ไข แต่ก็ไม่เป็นผล วันนี้บทความที่ขาดข้อเท็จจริงของคุณวันชัยถูกแชร์เผยแพร่อีกครั้ง โดยเจ้าตัวรู้หรือไม่ก็ตาม ผมจึงต้องเอาบทความที่ผมเขียนตอบคุณวันชัยในเดือนเมษายน 2558 ออกเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยไม่ได้ตัดต่อหรือเพิ่มความใดๆทั้งสิ้น
..................................................................................................................................................
กรณีบทความเรื่อง “ข้าวโพด สาเหตุแห่งการทำลายป่า น้ำแล้งและหมอกควันพิษ”
...................................................................................................................................................................
ย้อนรอยนิดหนึ่งครับ คุณวันชัยเขียนบทความนี้ลงในสารคดีเดือนเมษายน 2558 ในตอนนั้นคุณวันชัยดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาธารณะแห่งประเทศไทย (ThaiPBS) และอดีต บก.นิตยสารสารคดี บทความนี้ขาดข้อมูลข้อเท็จจริง ผมจึงได้เขียนตอบโต้ไปทีละประเด็น หลังบทความผมเขียนตอบโต้ คุณวันชัยได้ประสานผ่านทางคุณนิคม พุทธา ขอให้ผมลบบทความนี้ออก เนื่องจากไปทำลายเครดิตคุณวันชัย ในวันนั้นผมต่อลองกับคุณนิคม พุทธา ให้แก้ไข แต่ก็ไม่เป็นผล วันนี้บทความที่ขาดข้อเท็จจริงของคุณวันชัยถูกแชร์เผยแพร่อีกครั้ง โดยเจ้าตัวรู้หรือไม่ก็ตาม ผมจึงต้องเอาบทความที่ผมเขียนตอบคุณวันชัยในเดือนเมษายน 2558 ออกเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยไม่ได้ตัดต่อหรือเพิ่มความใดๆทั้งสิ้น
..................................................................................................................................................
กรณีคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ รองผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาธารณะแห่งประเทศไทย (ThaiPBS) และอดีต
บก.นิตยสารสารคดี เขียนบทความเรื่อง “ข้าวโพด สาเหตุแห่งการทำลายป่า
น้ำแล้งและหมอกควันพิษ” ลงในบล็อกสารคดี (http://www.sarakadee.com/blog/oneton/?p=1717) เมื่อเดือนเมษายน 2558 โดยพุ่งเป้าโจมตีชาวอำเภอแม่แจ่มเป็นหลัก
แต่ขาดข้อมูลข้อเท็จจริง ทำให้บทความนี้สร้างความเข้าใจผิดต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก
การนำเสนอบทความที่ขาดข้อมูลข้อเท็จ เป็นความรับผิดชอบของสื่อมวลชนที่ต้องกลับมาทบทวน
ยึดความถูกต้อง แม่นยำ ครบถ้วน
ไม่แต่งเติมเนื้อหาสาระจนคลาดเคลื่อนหรือเกินจากความเป็นจริง กรณีบทความของคุณวันชัย
เป็นการเขียนที่ผิดไปจากจริยธรรมสื่อมวลชน ที่คนอย่างคุณวันชัยไม่ควรจะให้เกิดขึ้น
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจึงขอนำประเด็นต่างๆ
จากบทความเรื่อง “ข้าวโพด สาเหตุแห่งการทำลายป่า น้ำแล้งและหมอกควันพิษ”
มาให้แยกแยะให้เห็นข้อมูลข้อเท็จจริงดังนี้
ข้อ 1. คุณวันชัยเขียนว่า ".....เราเผาป่าต้นน้ำหลายสิบล้านไร่เพื่อเปลี่ยนเป็นข้าวโพด..."
ข้อมูล ข้อมูลกรมพัฒนาที่ดิน
2554 (ปรับปรุง ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2556) พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภาคเหนือ 5,592,375 ไร่ ทั้งประเทศ 7,839,843 ไร่
มีเกษตรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 56 จำนวน 401,921
ครัวเรือน ไม่ใช่หลายสิบล้านไร่อย่างที่กล่าวอ้าง
ข้อ 2. คุณวันชัยเขียนว่า "...ดูแม่น้ำแม่แจ่ม
มีต้นน้ำมาจากป่าใหญ่ในอุทยานแห่งชาติออบหลวงไหลผ่านอำเภอแม่แจ่มและไปออกสู่แม่น้ำปิงที่อำเภอฮอด..."
ความจริง ต้นน้ำแม่แจ่มไหลมาจากดอยกิ่วปลาก้างทางตอนเหนืออำเภอแม่แจ่ม ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอกัลยาณิวัฒนา
หรือที่รู้จักกันว่า "มูเสคี" ป่าต้นน้ำแม่แจ่ม บ้านวัดจันทร์
(อดีตเป็นตำบลวัดจันทร์ อ.แม่แจ่ม) ไม่ใช่มีต้นน้ำมาจากป่าใหญ่ในอุทยานแห่งชาติออบหลวง
ข้อ 3. คุณวันชัยเขียนว่า
"...ปัจจุบันแม่แจ่มจึงเป็นหุบเขาแห่งข้าวโพด (corn valley)
กลายเป็นอำเภอที่มีปัญหาหมอกควันพิษจากการเผาป่าและซากไร่มากที่สุดในประเทศ..."
ข้อมูล
ใน 18 จังหวัดภาคเหนือตอนบนพบจุดความร้อนในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมากสุด
รองมาจังหวัดเชียงใหม่จัดอยู่ในอันดับ 2 ของประเทศ
แล้วอย่างนี้แม่แจ่มกลายเป็นอำเภอที่มีปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าและซากไร่มากที่สุดในประเทศได้อย่างไร
ซึ่งนั้นก็หมายความว่ามากกว่าจังหวัดอื่นๆ อีก (ดูตารางข้อมูล Hotspot จากดาวเทียม Terra และAgua ปีงบประมาณ
2558 ฯ) จะเห็นว่าแม่แจ่มไม่ใช่ที่สุดของประเทศ
ข้อ 4. คุณวันชัยเขียนว่า "....จากการติดตามและรวบรวมสถิติจุดที่ตรวจพบความร้อน
หรือจุดที่เกิดไฟ (Hotspot)
ของทางการพบว่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าอำเภอแม่แจ่ม มีจำนวนมากถึง ๔๗
จุด..."
ข้อมูล เมื่อเปรียบเทียบ
25 อำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ แม้อำเภอแม่แจ่มพบจุดความร้อนมากสุด แต่ถ้าเปรียบเทียบข้อมูลที่คุณวันชัยเอามาอ้าง
ซึ่งเป็นตัวเลขช่วงวันที่ 1 ต.ค.57-22 มี.ค.58 เฉพาะพื้นที่อนุรักษ์
(ไม่รวมพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตร) ในช่วงนี้ตัวเลขจริงอำเภอแม่แจ่มอยู่ที่ 46
จุดไม่ใช่ 47 จุด
อ.เชียงดาวมากสุด 140 จุด
อ.เวียงแหง 62 จุด
อ.พร้าว 53 จุด
อ.แม่แตง 51 จุด
อ.สะเมิง 50 จุด
อ.แม่แจ่ม 46 จุด
แต่ถ้าร่วมพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่การเกษตร ณ วันที่
15 เม.ย.58 แม่แจ่มพบจุดความร้อนอยู่ที่ 319 จุด (ดูข้อมูลตารางข้างล่าง) มากสุดในจังหวัดเชียงใหม่
ไม่ใช้มากสุดในประเทศไทย
ข้อ 5. คุณวันชัยเขียนว่า "...โดยพื้นที่เผานั้นเกือบทั้งหมดอยู่ในไร่ข้าวโพดซึ่งมีประมาณ
สองแสนไร่...."
ข้อมูล ในปีพ.ศ.๒๕๕๖
มีพื้นที่เพาะปลูกจำนวน ๑๔๔,๘๘๐ ไร่ เกษตกรผู้ปลูกข้าวโพดฯ ๘,๓๓๒ ราย พอปีพ.ศ.๒๕๕๗ ลดลงมาอยู่ที่ ๑๑๘,๗๙๑ไร่
มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดฯ ๗,๔๒๗ ราย[1]
ให้ผลผลิตในปี๒๕๕๖/๕๗ เฉลี่ย ๗๓๗ กิโลกรัม/ไร่ ไม่ใช่สองแสนไร่อย่างที่กล่าวอ้าง
6. "...ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศมีมากเกือบ ๔๐๐
ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร..."
ข้อมูล ปี 2558
สูงสุดอยู่ที่ 299 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ไม่ใช่ 400 ไมโครกรัม/ลบ.ม.
อย่างที่คุณวันชัยยกเมฆครับ (ดูตารางข้างล่าง)
ข้อ 7. คุณวันชัยเขียนว่า "...ในอนาคต อย่าได้แปลกใจหากหน้าแล้ง
แม่น้ำปิงน้ำจะแห้งเหือด เพราะน้ำจากป่าต้นน้ำอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
ไหลลงสู่แม่น้ำปิงมากที่สุด
แต่ป่าในอำเภอแม่แจ่มถูกทำลายมากที่สุดเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดหลายแสนไร่..."
ข้อมูล พื้นที่ป่าประเทศไทยปี2556
อยู่ที่ร้อยละ
31.57
จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ป่าร้อยละ
69.49
อำเภอแม่แจ่มมีป่าร้อยละ 81.00 ของพื้นที่ทั้งหมด[2] (ดูกราฟด้านล่าง)
ในจำนวนพื้นที่ทำกิน
226,685 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีพ.ศ.๒๕๕๖ จำนวน ๑๔๔,๘๘๐ ไร่ โดยมีพื้นที่ลดลงมาในปีพ.ศ.๒๕๕๗
อยู่ที่ ๑๑๘,๗๙๑ไร่[3]
ไม่ได้มีหลายแสนไร่ อย่างที่คุณวันชัยพูดถึง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น