ฉีกหน้ากากไฟป่าภาคเหนือ
สมเกียรติ มีธรรม
เป็นคำถามค้างคาใจสังคมไทยในห่วงวิกฤติไฟป่า
ปีที่แล้วก็บอกว่าเยอะแล้ว....ปีนี้เยอะกว่าอีก ซ้ำยังเกิดการสูญเสียมากมายมากประมาณค่ามิได้
ไม่เฉพาะแต่พื้นที่ป่าที่ถูกไฟเผาผลาญนับแสนไร่ เพียง 4 วันผ่านไป
ไฟป่ายังพร่าผลาญเสียชีวิตจิตอาสาดับไฟป่าไปแล้วถึง 5 ราย บาดเจ็บอีก
1 ราย อัตวินิบาตกรรมอีก 1 ราย
คำถามก็คือ มันเกิดอะไรขึ้น ปีนี้ทำไมไฟป่ารุนแรง และสร้างความสูญเสียมากมายขนานนี้...?
ภาพที่ออกไปตามสื่อออนไลน์
หลายคนเห็นแล้วเศร้าใจกับเพลิงเผาผลาญไปทุกหย่อมหญ้า รุนแรง จุดความร้อนก็เพิ่มขึ้นประดุจดังโลกันต์วินาศก็มิปาน
ฝุ่นควันสะสม(ทั้งจากการเผาภายในประเทศและนอกประเทศ)ก็สูงตามมาอย่างน่าตกใจ คนภาคเหนือจึงแทบไม่ต้องบอกให้สวมหน้ากากขณะออกไปในที่โล่งแจ้ง
เพื่อป้องกัน PM2.5 และ PM10 อีกต่อไป การระบาดหนักของโควิค-19
ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ไปไหนมาไหนในห้วงเวลานี้ ก็เลยต้องมีหน้ากากไว้ป้องกันทั้งโควิค-19 และฝุ่นควันไปพร้อมกัน เรียกว่า all in one กว่าปีที่แล้ว
คำถามก็คือ
เกิดอะไรขึ้น ปีนี้ ทำไมไฟป่ารุนแรง สร้างความสูญเสียมากมายขนานนี้…? และเป็นไฟป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าดิบแล้งและรุกลามเข้าไปในป่าดิบเขาค่อนข้างมาก
เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบให้กับสังคมคลายความสงสัย
พอไปถามหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่มีคำตอบชัดเจน เนื่องจากปัญหาไฟป่า
ก็คล้ายกับปัญหาภัยใต้ มีความซับซ้อนไม่ต่างกันเท่าไหร่ แม้ดูประหนึ่งว่าง่ายกว่าภัยใต้
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วไม่ใช้ ดังนี้
๑. มีชีวมวลสะสมในปริมาณที่มากทุกปีในพื้นที่ป่าหลายแห่ง
ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้าน เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ มีใบไม้ กิ่งไม้ ใบหญ้า และพืชอื่นๆ
แห้งตายทับถมสะสมซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทุกปี โดยไม่มีการบริหารจัดการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
เมื่อเกิดไฟลุกลามจึงรุนแรงจนยากที่จะดับได้ เพราะการสะสมของปริมาณชีวมวลที่ทับซ้อนกันหลายๆชั้น
ทำให้เกิดการเผาไหม้ 3
ระดับคือ ไฟในดิน ไฟบนดิน และไฟเรือนยอด เช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วกับภูกระดึง
จ.เลย ที่ขุนแปะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่ดอยสุเทพปุ๋ย และอื่นๆอีกหลายแห่ง
ล้วนแล้วแต่รุงแรงและยากต่อการผจญเพลิงที่กำลังลุกไหม้
ไฟ 3 ระดับได้แก่
ไฟในดิน
เป็นไฟที่คุกรุ่นอยู่ในดิน ไหม้ไปอย่างช้าๆ ใช้เวลานาน ค่อยๆ ลามไปเรื่อยๆ พอขึ้นมาผิวดินก็จะลุกไหม้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นไฟบนดิน ไฟในลักษณะนี้ จะก่อปัญหาฝุ่นควันมากกว่าไฟบนดินและไฟเรือนยอด
ไฟบนดิน
เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะลุกไหม้ไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของป่าและสภาพป่าในบริเวณนั้นๆ ถ้าสภาพป่าโล่ง
ต้นไม้ใบหญ้าไม่หนาทึบ ไฟก็จะไหม้ไปอย่างรวดเร็ว คล้ายๆกับสำนวนที่ว่า ไฟไหม้ฟาง ฝุ่นควันไม่มากเท่าไหร่
แต่ในตรงกันข้าม ถ้าสภาพป่ามีต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ มีไม้เรือนยอดปกคลุมแน่นหนา เมื่อเกิดไฟป่า
ก็จะรุนแรง ลำไฟขึ้นสูง กระจายไปในวงกว้าง ลุกลามขึ้นไปกลายเป็นไฟเรือนยอด
ไฟเรือนยอด
เป็นไฟที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากไฟบนดินในสภาพป่าที่มีต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ ลุกลามขึ้นไปบนต้นไม้และยอดไม้
จากต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่ง ทำให้ไฟกระจายตัวไปอย่างรวดเร็วและกินพื้นที่กว้าง ยิ่งมีลมแรงโบกมาในเวลาที่ประจวบเหมาะกันก็ยิ่งไปกันใหญ่
ดับก็ไม่ได้ ต้องปล่อยไปตามยถากรรม เช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายที่หลายแห่ง โดยเฉพาะป่าดิบแล้งจะอันตรายมาก
ถึงกับผลาญชีวิตเราได้
โดยไฟทั้ง
3 ระดับนี้ จะส่งทอดต่อกันและกันไป รุนแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับชนิดป่าและสภาพป่าในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป
ไฟทั้ง 3 ระดับนี้ เมื่อเกิดแล้วดับยาก
โดยเฉพาะไฟใต้ดินกับไฟเรือนยอด หากไม่มีการจัดการชีวมวลในปีเป็นเวลาหลายปี เมื่อมีไฟเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เอากันไม่อยู่เลยก็ว่าได้ ดังปรากฏให้เห็นเป็นข่าวในขณะนี้
๒. ขาดการบริหารจัดการชีวมวลในป่าที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
การจัดการชีวมวลที่สะสมในป่าแต่ละประเภทดังกล่าวมาข้างต้นนั้น มีหลากหลายวิธีการด้วยกัน
จะเอามาทำเป็นปุ๋ย เชื้อเพลิงในโรงงาน หรือเอาใบไม้มาทำถ้วยชาม ฯลฯ ก็ว่ากันไป แต่ถ้าเลือกใช้วิธีลดปริมาณเชิงเพลิงในป่าด้วยไฟแล้วล่ะก็
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงก็คือ SPACE AND TIME
2.1 SPACE ก็คือ สภาพพื้นที่ สภาพป่า และประเภทของป่า ที่มีความแตกต่างกันไปในแต่
ละที่แต่ละแห่ง
สภาพป่า ก็คือ
สภาพของพื้นที่ป่าแต่ละประเภท มีใบใม้ กิ่งไม้ ใบหญ้าแห้งตายหนาทึบ
หรือไม่ มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นหรือไม่ และให้หมายร่วมถึงสภาพพื้นที่ด้วยว่ามีความลาดเอียงต่ำหรือสูงชัน
ตั้งอยู่ทิศทางลมหรือบังลม
ประเภทของป่า ก็คือ ป่าแพะ
ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ในจำนวนนี้ มีป่าบางชนิดที่ต้องเลี่ยงการลดปริมาณชีวมวลด้วยการใช้ไฟ
คือต้องปล่อยให้อยู่ในสภาพนั้นไปอย่าได้แตะต้องเด็ดขาด เช่น ป่าดิบชื้น
ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำให้เราได้ใช้ดื่มกิน ป่าบุ่งป่าทาม ป่าพรุ ป่าชุ้มน้ำ
อย่างนี้เป็นต้น
2.2
TIME ก็คือ กาลและเวลา ในที่นี้ได้แยกสองคำนี้ออกจากกัน แม้มีความหมายไม่ต่างกันนัก
แต่ก็มีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกันออกไปชัดเจน
กาล ในที่นี้หมายถึง
เป็นครั้งเป็นคราวไป หรือเป็นหนๆ ไป คือถ้าไม่มีการจัดการชีวมวลเป็นครั้งเป็นคราวไปตามปริมาณการสะสมของชีวมวลในป่า
ซึ่งอาจเป็นปีละครั้งหรือสองปีครั้ง ขึ้นอยู่กับการสะสมของปริมาณชีวมวล
เวลา
อันนี้ไม่ต้องอธิบาย คือเวลาโมงยามตามที่เข้าใจกันนี้แหละ ในการลดปริมาณเชื้อเพลิงเป็นครั้งเป็นคราวหรือเป็นหนๆไปนั้น
ต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม (ไม่ใช้เลือกเวลาเพื่อหลบดาวเทียมตรวจจับความร้อน) และต้องเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีกระแสลมแรงจนเกินไป
ต้องให้พอเหมาะพอดีที่ไม่ทำให้ไฟกระจายตัวไปในวงกว้าง ถ้าจัดการแบบนี้ได้
ก็จะช่วยลดความรุนแรงของไฟ ลดการสูญเสียป่าและชีวิตทรัพย์สินลงได้ไม่มาก
๓. แนวคิด
BURNING
ZERO แบบสุดขั้ว แนวคิดนี้ เป็นแนวคิดของชั้นชนกลางในเมืองและผู้รักษากฏหมายบางส่วน
ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ไฟลดปริมาณชีวมวลในป่าทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะถูกต้องตามหลักวิชาการหรือไม่ก็ตาม
เนื่องจากแนวคิดนี้มองว่า ถ้ามีควันก็ต้องมีไฟ ถ้ามีไฟก็ต้องมีควัน ดังนั้นถ้าไม่ให้เกิดหมอกควันอีก
ก็ต้องไม่มีการเผาทุกรูปแบบ
เดิมทีแนวคิดนี้ปรากฏอยู่ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้
ห้ามมิให้ผู้ใดเผาป่าทุกรูปแบบ เพราะการเผาป่าเป็นการทำลาย
ไม่ใช้การบำรุงดูแลรักษาป่า ซึ่งในหมู่ผู้รักษากฏหมายป่าไม้ส่วนใหญ่ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
แต่ไม่ระบาดไปสู่สังคมมากนัก กระทั่ง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เกิดปัญหาหมอกควันไฟป่าสะสมในปริมาณที่มากในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
จนทำให้ค่าเฉลี่ยฝุ่นควันสะสม หรือค่า PM10 และ PM2.5 อยู่ในระดับที่สูงติดต่อกันหลายวันเป็นประจำทุกปี
บางปีเครื่องบินลงจอดได้ เศรษฐกิจเชียงใหม่และในภาคเหนือตอนบนซบเซาเสียหาย เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง
ชนชั้นกลางในเมือง จึงเริ่มออกมาเรียกร้องสิทธิการมีอากาศบริสุทธิ์หายใจ
โดยเพ็งเล็งไปที่ชาวบ้านว่าเป็นต้นเหตุสำคัญในการก่อปัญหาหมอกควันไฟป่าจากการเผาไร่
เพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตรในเขตป่าสงวนแห่งชาติรอบใหม่ไว้ปลูกพืชเชิงเดียวในฤดูฝน
แม้ปัจจุบันจะมีข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมชี้ชัดว่า ไฟป่าเกิดจากการเผาในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตอนุรักษ์เป็นส่วนใหญ่แล้วก็ตาม
แต่คนชั้นกลางในเมืองก็ยังยึดมั่น burning zero คือคำตอบอยู่ดี
เหมารวมมาที่ชาวบ้านหรือภาคชนบทเป็นผู้ก่อปัญหา แม้ดูประหนึ่งว่าจะมีความเข้าใจมากขึ้นบ้างแล้วก็ตาม
ความขัดแย้งทางความคิด ระหว่างชนชั้นกลางในเมืองกับชนบทดังกล่าวมานี้
ได้ถูกโต้กลับจากชุมชนทั่วทุกสารทิศที่อยู่กับป่ามาช้านาน ว่าเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง
แม้นักวิชาการอย่างอาจารย์สมศักดิ์ สุขวงศ์ ผู้ก่อตั้งศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า (RECOFTC) ก็ยังคงเห็นไฟเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่มีการค้นพบครั้งแรกแล้ว
เพียงแต่ต้องบริหารจัดการที่ดี ไฟในวิถีชีวิตก็จะไม่สร้างภาวะวิกฤติให้แก่สังคมและธรรมชาติได้
ในการโต้กลับของภาคชนบทที่ผ่านมา
นอกจากนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ และจากเวทีประชุมสัมมนา
เพื่อที่จะสื่อสารให้ชนชั้นกลางในเมืองเข้าใจแล้ว ภาคชนบทส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ลดละที่จะบริหารจัดการไฟป่ามาอย่างต่อเนื่อง
แม้มีเพียงไม่กี่คนในชุมชนที่มักก่อปัญหา แต่ก็ใช่ว่าชุมชนจะละเลยเรื่องนี้ไปได้ การทำแนวกันไฟในพื้นที่ป่าและในไร่
การวางเวรยามเฝ้าระวังไฟป่า ร่วมกันดับไฟป่าในเขตหมู่บ้านของตนจนบาดเจ็บและเสียชีวิตก็มี
ลดปริมาณชีวมวลในป่าด้วยการใช้ไฟรวมกับองค์กรต่างๆ ก็เคยทำกันมาแล้ว
ส่วนพื้นที่การเกษตรในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ก็พยายามที่จะลดละการเผาลงไปด้วยการไถ่กลบบ้าง ถางเศษวัสดุในไร่เพื่อลดเวลาการเผาไหม้ให้สั้นลง
ทำแนวกันไฟไม่ให้รุกลามเข้าไปในเขตป่า ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชในไร่ ส่วนเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร
นอกจากเอามาทำปุ๋ยหมัก ตักเก็บไว้ให้วัวกินในคอกแล้ว ที่เหลือก็อัดก้อนขายส่งให้ฟาร์มโคและใช้เป็นเชื้อเพลิงโรงงานต่างๆ
ถึงกระนั้น แนวคิด BURNING ZERO แบบสุดขั้วของชนชั้นกลางในเมืองก็ยังไม่เลือนหายไป แม้ดูประหนึ่งว่าจะเข้าใจมากขึ้นก็ตาม
แต่ในหมู่นักวิชาการที่ออกมาทำวิจัยกับชาวบ้าน เพื่อลดปริมาณชีวมวลด้วยไฟในเขตป่า ก็ยังถูกต่อว่าจากหมู่นักวิชาการด้วยกัน
จนทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ไม่กล้าพูดเรื่องการจัดการชีวมวลในป่าตามหลักวิชาการเต็มปากเต็มคำ
แม้ในภาคสนามจะดำเนินการมาต่อเนื่องร่วมกับชุมชนและภาคีเครือข่ายหลายปีแล้วก็ตาม แต่ในทางสาธารณะก็ยังกล้าๆ
กลัวๆ อยู่ดี ประกอบกับกฎหมายและนโยบายที่ไม่เอื้อให้
แม้จะเห็นผลในการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีลดปริมาณชีวมวลด้วยการใช้ไฟก็ตาม กลับไม่เคยเอ่ยอ้างอย่างชัดเจนใดๆ
ในหน่วยงานและกองกรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ไฟป่าที่รุนแรงขึ้นทุกปี
ภาพที่สื่อออกไปจากภาคชนบทช่วยกันดับไฟป่าจนบาดเจ็บและเสียชีวิต
โดยสื่อสาธารณะหรือว่าสื่อออนไลน์ส่วนบุคคล ทำให้ชนชั้นกลางเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น
เริ่มหาช่องทางหนุนเสริมชุมชนดับไฟป่า แต่ถ้า BURNING ZERO ได้ก็จะเป็นการดี
๔. กฎหมายและระเบียบราชการเป็นอุปสรรคในการจัดการไฟป่า กฎหมายบ้านเราโดยทั่วไปมีทั้งส่วนที่ห้ามปรามลงโทษ
และส่วนที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและส่งเสริมการทำความดี
ในส่วนที่ห้ามปรามลงโทษเฉพาะเกี่ยวข้องกับป่าไม้
ปรากฏชัดเจนอยู่ในพรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 14 พรบ.ป่าไม้ พ.ศ.2484//2504/2507
และพ.ศ.2535 มาตรา 54 มาตรา
16 มาตรา 14 มาตรา 37 และ 42 ตามลำดับ หากผู้ใดฝ่าฝืนไปก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า
ทำลายป่า ยึดถือครอบครอง ทำอันตรายต่อทรัพยากรธรรมชาติ จนทำให้เสื่อมสภาพและเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่า
มีโทษปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
คำว่า “ห้ามมิให้ผู้ใด..”ที่ปรากฏในกฎหมายเหล่านี้
มิได้หมายถึงเฉพาะประชาชนเท่านั้น แม้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน
จึงทำให้การลดปริมาณชีวมวลโดยวีธีการใช้ไฟในป่าไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าจะลดปริมาณชีวมวลตามหลักวิชาการด้วยการใช้ไฟในป่าให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ก็ต้องขอนุญาตตามหลักเกณฑ์ฯก่อน ซึ่งนั่นก็คือ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัย การควบคุม
ดูแล รักษาหรือบำรุงป่าสงวนแห่งชาติ
อธิบดีมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้
กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้
คำถามก็คือว่า การลดปริมาณชีวมวลด้วยการใช้ไฟในป่าเข้าหลักเกณฑ์ตัวไหน
เป็นการควบคุม ดูแล รักษาหรือบำรุงป่าตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่ากฎหมายไทยล้าหลัง
ยังเห็นว่าการลดปริมาณชีวมวลตามหลักวิชาการด้วยการใช้ไฟในพื้นที่ป่าเป็นการทำลาย
ไม่ใช้เป็นการควบคุม ดูแล รักษาหรือบำรุงป่า คิดหรือว่าจะได้รับการอนุญาตจากอธิบดี
นี้ยังไม่รวมถึงกระบวนขั้นตอนต่างๆ ก่อนถึงอธิบดีกรมป่าไม้จะใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่
ในทางกลับกัน ถ้าอธิบดีอนุญาตการลดปริมาณชีวมวลตามหลักวิชาการด้วยการใช้ไฟในพื้นที่ป่า
ก็จะถูกมองจากสังคมโดยเฉพาะชนชั้นกลางในเมืองที่มีแนวคิด BURNING ZERO สุดขั้วว่า อธิบดีอนุญาตให้เผาป่าได้ ดีไม่ดีก็อาจถูกฟ้องร้องอีก
ด้วยเหตุดังนี้ ปริมาณชีวมวลที่สะสมในป่าจึงไม่ได้ถูกจัดการตามหลักวิชาการ
เมื่อเกิดไฟป่าขึ้นจึงรุนแรงและสร้างความเสียหายทั้งชีวิตทรัพย์สินอย่างมากจนยากจะหยุดหยั่งได้
แต่ที่ทำๆกันไปในแต่ละพื้นที่ ก็ต้องยอมรับว่า หลับตากันไปข้างหนึ่ง ถึงกระนั่น ก็ใช่ว่าจะไม่มีการลดปริมาณชีวมวลในพื้นที่ป่าด้วยการใช้ไฟ
ในหมู่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็ยังหลบๆซ่อนทำกันเป็นประจำทุกปี
และนี้ก็คือสาเหตุหนึ่งซึ่งถูกมองว่าเจ้าหน้าที่เผาป่าเสียเอง หนักเข้าก็ถูกมองว่าเผาเอางบก็มี
ในตรงข้าม ถ้าปรับปรุงกฎหมายให้ลดปริมาณชีวมวลด้วยการใช้ไฟในป่าตามหลักวิชาการได้
ปรับปรุงระเบียบให้กระฉับไม่ยุ่งยากยืดยาว ชุมชนและองค์กรต่างๆ
ที่ร่วมกันบริหารจัดการไฟป่าเข้าถึงได้ง่าย ปัญหาไฟป่าก็จะไม่รุนแรงอย่างในขณะนี้ จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายรายในเพียงไม่กี่วัน
ที่ซ้ำรายกว่านั้น ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการช่วยเหลือราชการ
กลับไม่ได้รับการชดเชยจากรัฐบาลอย่างที่ควรจะเป็น หรืออย่างน้อย ก็เพื่อมนุษยธรรรมตามกฎหมายกำหนด
(พรบ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ) หรือจากกองทุนประสบสาธารณภัยสำนักนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงการอุดหนุนผู้ประสบภัยของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เพื่อสร้างขวัญกำลังให้กับคนทำดีเสียสละเพื่อส่วนร่วม กรณีกราดยิงที่โคราช รัฐบาลยังจ่ายค่าชดเชยให้ได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่ติดขัดระเบียบกฎหมาย
แต่ในการชดเชยให้กับจิตอาสาบาดเจ็บและสียชีวิตดูว่าจะติดขัดไปหมด เช่น
ต้องมีประกาศ หรือคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ มีโน้นมีนี้สารพัด พอได้เอกสารครบ
บางทีก็ไปจบที่อำเภอ บางทีก็ไปจบที่จังหวัด และถ้าหากไม่มีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง
จะสร้างการมีส่วนรวมอย่างไรในการดับไฟป่าก็จะไม่มีความหมาย ไร้พลังในการแก้ไขปัญหา
๕. นโยบายไม่เป็นระบบ
ขาดความต่อเนื่องตั้งแต่บนลงล่าง และขัดกันเอง นับตั้งแต่เริ่มมีปัญหาไฟป่าเมื่อปีพ.ศ.2533 เป็นต้นมา นโยบายการแก้ปัญหาไฟป่าไม่มีความชัดเจนและต่อเนื่อง เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐบาลแต่ละยุคสมัย
พอแบ่งออกได้ตามช่วงเวลาดังนี้
ระหว่างปีพ.ศ.2533-2540 นโยบายรัฐบาลมุ่งเน้นไปกำชับ กวดขัน ดูแลเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสภาพป่า
มาในปีพ.ศ.2541-2545 รัฐบาลเริ่มให้ความสำคัญกับไฟป่ามากขึ้น มีมติครม.เห็นชอบหลักการให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับปัญหาไฟป่า
โดยกำหนดเป็นนโยบายในหน่วยงานสังกัด ช่วยป้องกันและดับไฟป่าที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
พอปีพ.ศ.2546-49 รัฐบาลเริ่มจัดทำร่างแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำแผนปฏิบัติการ พร้อมกับเริ่มให้ความสำคัญกับปัญหาหมอกควันข้ามแดนตามมา
แต่ทว่าแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาไฟป่าปีพ.ศ.2547
ที่คณะรัฐมนตรีทำได้แต่เพียงรับทราบกลับไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติ พอเกิดไฟป่ารุนแรงพุ่งสูงขึ้นเป็น
3 เท่าตัวของปี 2546 คณะรัฐมนตรีกลับมีมติ 23 มีนาคม
2547 เห็นชอบใช้มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเป็นหลัก โดยให้กระทรวงกลาโหม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สนับสนุนภารกิจดังกล่าว
พอเข้าปี
พ.ศ.2548 รัฐบาลกลับมานับหนึ่งใหม่ ทิ้งแผนเดิมที่วางไว้ในปี พ.ศ.2547 กำหนดแนวทางแก้ปัญหาไฟป่าใหม่โดยให้บูรณาการกระทรวงต่างๆ ดังนี้
ให้กระทรวงมหาดไทย บูรณาการกำลังพลและทรัพยากรของทุกภาคส่วนมาช่วยดับไฟป่า
โดยออกประกาศจังหวัดกำหนดเขตควบคุมไฟป่า และกำหนดระเบียบ
ตลอดจนมาตรการควบคุมไฟป่าในพื้นที่เขตควบคุมไฟป่า
และกำกับดูแลให้มีการดำเนินการไปตามมาตรการที่กำหนด มีการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการไฟป่าระดับ
จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน
เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อในทุกระดับได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่า ร่วมทั้งจัดทำแผนระดมพลดับไฟป่าในสถานการณ์รุนแรงและวิกฤติอีกด้วย
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้ประโยชน์จากเศษสิ่งเหลือทางการเกษตรแทนการเผา
เช่น การนำไปทำปุ๋ยหมัก ทำแท่งเชื้อเพลิง หรือทำสิ่งประดิษฐ์ และเร่งดำเนินการจัดทำฝนหลวงในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า
ให้กระทรวงคมนาคม
ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท กำหนดมาตรการป้องกันการเกิดไฟป่าจากเส้นทางกลางทุกสาย
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
รณรงค์ให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังการใช้ไฟในพื้นที่ป่าไม้
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไฟป่า เช่น ไม่ทิ้งก้นบุหรี่ในป่า ไม่ก่อกองไฟในป่า
ให้กระทรวงกลาโหม
สนับสนุนกำลังพลและอากาศยานในการดับไฟป่าเมื่อได้รับการร้องขอ
และให้กระทรวงศึกษาธิการ สอดแทรกความรู้เรื่องการป้องกันไฟป่าลงในหลักสูตรการเรียนการสอน
ทุกระดับของกระทรวงและประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนนักศึกษาทุกระดับการศึกษาป้องกัน
รณรงค์ป้องกันในไฟป่า
แต่ทว่าแนวทางดังกล่าวกลับไม่ได้ผล
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548
เห็นชอบให้เชิญหน่วยงานและผู้ที่มีหน้าที่ปราบปรามการเผาทำลายป่า
รวมทั้งประชาชนในเขตพื้นที่ที่มีการเผามาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯรับไปดำเนินการเร่งด่วน
โดยประชาสัมพันธ์และสร้างการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน
หลังวิกฤติไฟป่าปีพ.ศ.2548 ผ่านพ้นไป
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง
โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้านคือ ด้านการป้องกัน ด้านการตรวจติดตาม ด้านปฏิบัติการดับไฟป่า และด้านการฟื้นฟูสภาพหลังเกิดไฟป่า โดยมีเป้าหมายเพื่อลดพื้นที่ไฟไหม้ป่า
จัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรทดแทนการเผา
นำเอาเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรมาใช้เป็นพลังงานชีวมวลทดแทนการใช้พลังงานในเชิงพาณิชย์
และลดการเผาขยะมูลฝอยในที่โล่งลงไป
แต่ทว่าแผนดังกล่าวกลับเป็นแพนนิ่งอีกครั้ง
ทั้งยังได้โอนภารกิจไฟป่ามาให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ(กปภ.ช.)ดูแล
และเสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ
และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควันออกไป
จากปีพ.ศ.2549-2559 เป็น พ.ศ.2549-2562
ซึ่งนั่นหมายความว่า
ตั้งแต่ปีพ.ศ.2549-2562 เรายังใช้แผนเดิมในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่ามาถึงทุกวันนี้ เมื่อใกล้ฤดูไฟป่าก็นำมาเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบแล้วก็เสนอรัฐมนตรีรับทราบเป็นปีๆ
ไป เพื่อขอใช้งบประมาณเป็นหลัก จะมีรายละเอียดบางเล็กน้อยที่เพิ่มเข้ามาในแต่ละปี เช่น
การปลูกป่า การสร้างความชุ่มชื้น และการสร้างแนวป้องกันไฟ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถขยับได้
ขณะที่ปัญหาและสาเหตุของไฟป่า ถูกพัฒนาและเชื่อมโ่ยงกันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่แผนเดิมยากจะรับมือได้
ในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นซึ่งเป็นภาคปฏิบัติ ก็ขยับตามกรอบงานและงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเป็นงบจากรัฐบาลกลางหรืองบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
ที่หนักเข้าไปอีกก็คือ
การมอบภารกิจดับไฟป่าให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปดำเนินการ แต่ไม่มอบงบประมาณตามไปด้วย
การเบิกจ่ายงบปกติที่มิได้อยู่ในแผนงบประมาณแต่ละปีของท้องถิ่น แม้จะมีการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าสามารถทำได้
แต่ก็ไปย้อนแย้งกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
ทำให้ท้องถิ่นหลายแห่งไม่กล้าเบิกจ่ายงบประมาณที่นอกเหนือไปจากแผนปกติ
นี้คือความย้อนแย้งเชิงนโยบายและกลไกการปฏิบัติงานของภาครัฐ
ซึ่งยังแก้กันไม่ตกมากระทั่งทุกวันนี้ ตัวอย่างนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือปี
2563
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม
พ.ศ.2562 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนวยการสั่งการ (Single
command) ติดตามสถานการณ์และบูรณาการสั่งการป้องกันและควบคุมการเผาในจังหวัดอย่างเคร่งครัด
จัดระเบียบการเผาอย่างเป็นระบบ สนับสนุนการลาดตระเวนและดับไฟ
กวดขันไม่ให้มีการเผาพื้นที่ริมทางหลวงโดยเด็ดขาด และให้ใช้งบประมาณกลุ่มจังหวัดเป็นหลักในการรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ
ปี 2563
ทางด้านกระทรวงทรัพย์ฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หากมีกรณีที่เกิดภัยพิบัติจากสถานการณ์หมอกควันขึ้น
ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
พ.ศ. 2562
อย่างเคร่งครัด และควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน
ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในทุกกลุ่มเป้าหมาย
สร้างเครือข่ายภาคีในพื้นที่ให้เพิ่มขึ้น
และเพิ่มศักยภาพของภาคีให้มีความเข้มแข็งในการดำเนินงาน
เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
นี้คือนโยบายฯปี
63
ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากปีก่อนๆ หน้านี้ โยนให้ภูมิภาครับไปดำเนินการ
สำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับภูมิภาค ส่วนกลางก็ลอยตัวจิบไวน์กันไป ถ้าไม่ได้ผลก็โดนเฉ่ง
นโยบายที่ขาดแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเช่นนี้
การบริหารจัดการจึงขึ้นอยู่กับภูมิภาคจังหวัด ท้องถิ่นอำเภอ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่บนลงล่างเป็นหลัก ประสิทธิภาพและคุณภาพ หรือจะขยับมากกว่านโยบาย
ก็ขึ้นอยู่ความสามารถของผู้บริหารแต่ละระดับที่พอตัดสินใจได้ สุดท้ายก็กลับมาหากฎหมายตามเคย
การห้ามชาวบ้านเข้าป่าโดยเด็ดขาด
การประกาศตัดสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบคทช.
และการประกาศจะปิดป่าที่เกิดขึ้นในเวลานี้และห้วงที่ผ่านมา ล้วนเป็นตัวอย่างของยาแรงจากรัฐบาลกลางที่ออกนโยบายโดยไม่มีแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงการร่วมศูนย์อำนาจจัดการไฟป่าอย่างชัดเจน
๖. รวมศูนย์อำนาจจัดการไฟป่า
นโยบายที่ขาดแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องของรัฐบาล
การบริหารจัดการไฟป่าจึงขึ้นอยู่กับรัฐราชการภูมิภาคจังหวัด ท้องถิ่นอำเภอ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่บนลงล่างเป็นหลัก หรือที่เรียกว่าระบบ Single command โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอบัญชาการแก้ไขปัญหาตามลำดับชั้น
แผนงานและกิจกรรมแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าจะถอยหลัง
ย้ำเท้าอยู่กับที่ หรือจะมีความก้าวหน้า ก็อยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอ
และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ว่าจะดำเนินการอย่างไรในแต่ละปี
ภายใต้กรอบงบประมาณที่ไม่รู้เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ในการสนับสนุนโครงการฯ เพราะแต่ละปี
มีงบประมาณสนับสนุนภารกิจไฟป่าน้อยมาก ระดับจังหวัดได้เพียงไม่กี่ล้าน
เมื่อกระจายให้อำเภอต่างๆ ได้กันเพียงหลักหมื่นหลักแสนบาท จะให้อำเภอและจังหวัดจัดทำแผนงานและกิจกรรมแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าที่มากไปกว่าที่ผ่านมาได้อย่างไร
ถึงกระนั่น
ภูมิภาคจังหวัดและอำเภอใช้ว่าจะทำไม่ได้ หากเปลี่ยนบทบาทใหม่เข้ามาทำหน้าที่ประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ
อย่างปราศจากอคติต่อบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรต่างๆ หรือแม้กระทั้งสิ่งดีๆที่ผู้ว่าฯนายอำเภอคนก่อนหน้านี้ทำไว้
ก็สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางและพัฒนาต่อยอดขึ้นไปได้
ในทางตรงกันข้าม
หากไม่ยอมเหยียบรอยเท้ากัน ต้องนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้ว่าฯและนายอำเภอ
สุดท้ายคนที่เหนื่อยก็คือผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ทว่าที่เหนื่อยกว่าก็คือผู้นำชุมชนและชาวบ้าน
ซึ่งปรับตัวไม่ทันกับแนวทางที่เปลี่ยนแปลงไป จนทำให้ความร่วมไม้ร่วมมือลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ
ยิ่งใช้อำนาจตามระเบียบกฎหมายมาบีบบังคับ แม้จะได้งานเสร็จเป็นครั้งๆ ไป แต่ก็ไม่สำเร็จและได้ใจคนและชุมชนในทางกลับกันถ้าต่อแผนเดิมโดยไม่พัฒนาให้ดีขึ้นไปและเพิ่มแนวทางและกิจกรรมใหม่ๆ
การทำงานก็จะไม่ก้าวหน้าไป ย้ำเท้าอยู่กับที่ให้เสร็จเป็นปีๆไป
ข้อมูลข้างล่างนี้
คือแผนงานและกิจกรรมโครงการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือบน 1 ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ปีพ.ศ.2560 - 63 ย้อนหลังไป 4 ปี มีแผนงานและกิจกรรมเช่นนี้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานาน
ส่วนงบประมาณก็สูญไปกับการประชุม/อบรม จ่ายไปกับค่าอาหาร เครื่องดื่ม ค่าพาหนะ และค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่เป็นส่วนใหญ่
ไม่มีงบประมาณก้อนไหนกระจายถึงชุมชนแม้แต่น้อย
แผนงาน
|
กิจกรรม
|
ปีพ.ศ.2560
|
ปีพ.ศ.2561
|
ปีพ.ศ.2562
|
ปีพ.ศ.2563
|
1 การดำเนินการเชิงปฏิบัติการเพื่อหามาตรการป้องกันมลพิษหมอกควันไฟป่า
|
1.1 ประชุม/อบรม
|
ü
|
ü
|
ü
|
ü
|
1.2 สนับสนุนหมู่บ้านนำร่อง
|
ü
|
ü
|
ü
|
ü
|
|
2. เฝ้าระวังลาดตะเวร
|
2.1 สนับสนุนปกครองอำเภอ
|
ü
|
ü
|
ü
|
ü
|
2.2 จัดราษฏรอาสาสมัครป้องกันไฟป่า
|
ü
|
ü
|
ü
|
ü
|
|
3. ประชุมสัมมนาถอดบทเรียน
|
ü
|
ü
|
ü
|
ü
|
|
4. บริหารโครงการและติดตามผลฯ
|
ü
|
ü
|
ü
|
ü
|
อ้างอิง
: ข้อมูลโครงการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือบน 1
ปี 60-63
http://www.osmnorth-n1.moi.go.th/new/project.php?year=2563
แผนปฏิบัติการเพื่อหามาตรการป้องกันมลพิษหมอกควันไฟป่า
ก็ทำกันมาทุกปีโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ถ้าเพิ่มเติมจากนี้ก็เป็นเรื่องของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะบัญชาการเป็นเรื่องๆ ไป
เช่น แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าจังหวัด ออกประกาศช่วงห้ามเผา บังคับใช้กฎหมาย
อยู่ที่ผู้ว่าฯเป็นหลัก หากแต่การประกาศเขตภัยพิบัติ
แม้จะมีอำนาจตามกฎหมายแต่ก็ไม่ดำเนินการใดๆ เนื่องจากนายไม่อนุญาต
กลัวว่าจะไปกระทบกับการท่องเที่ยวได้
จึงทำให้คนเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบน ต้องทุกข์ทนทรมานกับปัญหาหมอกควันไฟป่าเป็นประจำทุกปี
ภายใต้แผนงานและกิจกรรมที่ย้ำเท้าอยู่กับที่ ภายใต้อำนาจที่มีอยู่พอควรในการจัดการปัญหา
แต่ทว่าไม่สามารถบูรณาการภาคส่วนต่างๆ มาร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แม้จะมีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าจังหวัด
ก็สักแต่ตั้งกันไปให้เห็นว่า มีองค์ประกอบหลากหลายมาร่วมกันแก้ปัญหาเท่านั้น การเสนอแนะต่างๆ
ทั้งในเวทีและนอกเวทีมีแต่รับรู้รับทราบ ไม่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ ส่วนกรมป่าไม้กรมอุทยานก็เดินตามแผนงานปกติของต้นไป
ไม่สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการจัดการไฟป่าแต่อย่างใด ทั้งยังไม่เชื่อมั่นว่าชุมชนจะจัดการได้อีก
อันที่จริงการรวมศูนย์อำนาจจัดการไฟป่า
ภายใต้นโยบายที่ขาดแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องของรัฐบาลนั้น
หากมองกันในแง่บวกก็จะเป็นโอกาสที่รัฐราชการภูมิภาคและท้องถิ่นจะแสดงศักยภาพได้อย่างเติมที่
ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณที่ได้มาในแต่ละปี โดยดึงคนเก่งคนดีเข้ามาช่วยบริหารจัดการได้
ซึ่งหลายฝ่ายพร้อมที่จะช่วยอยู่แล้ว แต่พอเลือกใช้อำนาจผ่านกลไกมหาดไทย ในท้องถิ่นก็ให้นายอำเภอบัญชาการกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน
รวมถึงหน่วยงานป่าไม้ในระดับพื้นที่ จึงขาดดอกไม้หลากสีที่จะช่วยแก้ไขปัญหา
ต่อเมื่อควบคุมไฟป่าไม่ได้ ก็หันมาใช้มาตรการทางกฎหมาย
สั่งปิดป่า สั่งจับกุมบุคคลเข้าป่าอย่างบ้าคลั่งและอ้างเหตุผลวิบัติในการจัดการกับชาวบ้านและชุมชนที่อยู่ในป่า
โดยไม่สนใจประกาศห้ามเผาที่ผ่อนปรนให้กับบุคคลที่จำเป็นต้องใช้ไฟสามารถดำเนินการได้
แต่ให้แจ้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายอำเภอเพื่ออนุญาต
การไม่ย่อมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ผ่อนปรนประกาศห้ามเผาของผู้มีอำนาจ ทำให้ชาวบ้านที่ต้องใช้ไฟในการเตรียมปลูกพืชฤดูฝนเป็นห่วงกังวลว่าจะไม่ได้เพาะปลูกในฤดูกาลใหม่
การเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนดการชัดเจน เป็นเหตุทำให้เกิดปฏิบัติการดื้อเพ่งแบบเงียบๆ
ของผู้นำชุมชนและชาวบ้าน จนบานปลายกลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ยิ่งมีการจับกุมคุมขังชาวบ้านที่ย่อมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ผ่อนปรนประกาศห้ามเผา
ทำให้พวกเขายิ่งเห็นความไม่เป็นธรรมมากขึ้นเท่านั้น
ความขัดแย้งทางตรงและเชิงโครงสร้าง เป็นความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสังคมไทยจนยากจะแก้ไขหรือก้าวข้ามไปได้
ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับชาวบ้านด้วยกันเอง
ความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับผู้นำชุมชน ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยงานในระดับพื้นที่
เจ้าหน้าที่กับนายภายในองค์กร ความขัดแย้งระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติ ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงาน
ซึ่งสะสมทับถมมาเนิ้นนานโดยไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข กลายเป็นความขัดแย้งทางตรงที่ไม่ได้มุ่งประสงค์แต่ตัวบุคคลเท่านั้น
หากแต่ยังขยายไปถึงพื้นที่รับผิดชอบโดยตรงของบุคคล องค์กร และรัฐบาลอีกด้วย
การกลั่นแกล้ง
ประชดประชัน การแก้แค้น ท้าทาย หรือที่เรียกว่าไฟการเมือง จึงเกิดขึ้นเนื่องๆ
ในรอบ 2
ปีให้หลัง ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่เกิดจากระบบ
ระเบียบ กฎหมาย และนโยบายของรัฐบาล ที่สร้างสมความคับข้องใจให้กับผู้คนและชุมชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การจำกัดสิทธิการเข้าถึงทรัพยากร
สิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดิน การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เสมอภาคกัน ได้สร้างความเหลื่อมล้ำและอึดอัดคับข้องใจในความไม่เป็นธรรมมาอย่างต่อเนื่อง
หรือแม้ระบบลูกน้องเจ้านาย ระเบียบที่ยุ่งยากเยิ่นเยิ้อหยุมหยิมจนเข้าไม่ถึง ทำงานมุ่งเพียงรักษากฎหมายมากกว่ารักษาป่า
หรือใช้กฏหมายนำในการแก้ไขปัญหา ดังเช่น
ชาวบ้านเตรียมเข้าป่าแต่มาถูกจับกุมตามคำสั่งปิดป่า ดราม่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไร่หมุนเวียน
ตำบลนาเกรียน อำเภออมก๋อย รวมไปถึงนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับภูมินิเวศวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างหลากหลายในความเป็นไทย
นโยบายห้ามเผาที่กระทบกับปากท้องของชาวบ้านและการบริหารจัดการไฟในระดับพื้นที่ การตอบโต้ของรัฐราชการที่ทำให้สังคมเห็นว่าชาวบ้านและกลุ่มชาติพันธุ์เป็นคนเผาป่าโดยกรมป่าไม้
มีแต่จะซ้ำเติมบาดแผลให้ร้าวลึกยากจะหยุดไฟป่าได้ จนทำให้เกิดความสูญเสียมากมายซึ่งไม่เฉพาะแต่เพียงชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น
หากแต่ยังสูญเสียป่าอันอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ต้นน้ำ และส่งกระทบไปยังสุขภาพของประชาชน
เศรษฐกิจ และสังคมวงกว้างอีกด้วย
ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่นำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงทางตรงดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
ได้ถูกโต้กลับจากบุคคล ชุมชน สังคม และองค์กรต่างๆ ทั้งในด้านบวกและด้านลบควบคู่กันไป
ในด้านบวก ความรุนแรงของไฟป่า ทำให้เกิดภาพแห่งความประทับใจ
ความร่วมไม้ร่วมมือของบุคคลและชุมชนในการดับไฟป่ากระจายทั่วทุกพื้นที่
จนมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการดับไฟป่ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นการหนุนเสริมจากคนในเมืองสู่ชุมชนอย่างแข็งขัน
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือดับไฟป่า อุปกรณ์ป้องกันไฟป่า อาหาร และเครื่องดื่ม
รวมถึงการก่อเกิดขึ้นของกลุ่มต่างๆ ที่ออกมาช่วยดับไฟป่า ออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควันอย่างจริงจัง
และร่วมกันเสนอทางออกอย่างสร้างสรร หรือช่วยกันทำสื่อเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ให้สังคมได้รับรู้ทั่วถึงกัน
แต่น่าเสียดายที่ประการหลังนี้
ความปรารถนาดีถูกตีความว่าเป็นการเปิดโป่งปัญหาไฟป่าจากระบบรัฐราชการ ที่พยายามรักษาภาพลักษณ์องค์กรไว้
ไม่ให้เห็นขยะใต้พรมของตน จนต้องออกมาปกป้อง ห้ามเผยแพร่ภาพมุมสูง ห้ามโดรนอาสาบินเข้าไปในเขตพื้นที่อุทยาน(ดอยสุเทพปุ๋ย)
หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ดังเช่นกรณีการเสียชีวิตของหัวหน้าหน่วยดับไฟป่าแม่เหียอย่างนี้เป็นต้น
แทนที่จะค้นหาความจริงโดยตั้งคณะกรรมหลายฝ่ายสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิต เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขและรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรไว้
แต่กลับไม่ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้ระบบเจ้านายลูกน้องกัดกร่อนจิตใจคนทำงาน และกัดกร่อนองค์กรต่อไปโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขเสียที
ด้านลบ พบความขัดแย้งมากมายที่นำไปสู่ความรุนแรงโดยการใช้ไฟตอบโต้
เช่น ใช้ไฟกลั่นแกล้งคู่กรณี ใช้ไฟแก้แค้นแทนญาติพี่น้องที่ถูกจับดำเนินคดี ใช้ไฟท้าท้ายผู้นำที่ไม่ใช้พวกของตน
ใช้ไฟท้าทายกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ไฟแก้แค้นจากการถูกยึดคืนพื้นที่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
ใช้ไฟเพื่อหวังผลประโยชน์อื่นใดทั้งในหมู่ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงปฏิบัติการค่ำบาตร
การดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับคำสั่งหรือประกาศใดๆ จากผู้มีอำนาจในหมู่ผู้นำและชาวบ้านที่หมดความเชื่อมั่นในนโยบายห้ามเผาที่ไปกระทบกับปากท้องของชุมชนจนต้องปฏิบัติการแบบเงียบๆ
ไปในแต่ละพื้นที่ จนยากจะจับตัวดำเนินคดีได้ หรือได้ก็เพียงไม่กี่รายที่ถูกจับกุมดำเนินคดี
ถูกยึดคืนพื้นที่ แต่ก็มีคำถามจากสังคมมากมายอีกเช่นกัน กับมาตรฐานและมาตรการทางกฏหมาย
ยิ่งกรมป่าไม้โต้กลับด้วยการทำให้สังคมเห็นว่าชาวบ้านและกลุ่มชาติพันธุ์เป็นคนเผาป่า
ยิ่งจะซ้ำเติมบาดแผลแห่งความขัดแย้งกว้างออกไป ทำให้บุคคลที่ถูกดำเนินคดีและญาติพี่น้องรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีความเป็นธรรมกับตนและคนใกล้ชิด
สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวมานี้
เป็นการแสดงออกของผู้คนในสังคมและชุมชน เป็นภาพแห่งความยุ่งเหยิงที่ย้อนแย้งกันอยู่ในที
โดยที่รัฐราชการไม่เคยเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน...ขณะที่ปัญหาไฟป่ามีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงเชิงโครงสร้าง โดยไม่รู้อีกนานเท่าไหร่....? ที่รัฐราชการไทยจะรู้สึกตัว
ติดตามทางออกจากไฟป่าภาคเหนือ
เร็วๆ นี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น