ผันน้ำยวม 70,000 ล้าน ตอน ๑ คนต้นน้ำได้อะไร...?

 


          เดิมทีไม่อยากเขียนยืดเยื้อ ดึงขึ้นมาจนถึงต้นน้ำและลุ่มน้ำยวม แต่ด้วยความประทับใจที่ได้มาเยือนชุมชนลุ่มน้ำยวมตอนบนแห่งนี้เมื่อเดือนกันยายน 2555 รับจ๊อบมาจัดประชุมทำแผนชุมชนให้กับยูเอ็น ในพื้นที่ตำบลแม่อูคอและเขตตำบลห้วยโป่งหลายหมู่บ้าน/หย่อมบ้าน

เริ่มต้นการเดินทางที่ตำบลแม่อูคอ ขับรถเข้าทางทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ ลัดเลาะไปตามไหล่เขาสูงชันกว่า 1,000 ม.รทก.ขึ้นไป แวะประชุม/พักตามหมู่บ้าน/หย่อมบ้านต่างๆ กินนอนกับพี่น้องปกาเกอะญอ ไล่เรียงขึ้นไปจนกระทั่งถึงบ้านหนองเขียว ตำบลห้วยโป่ง เขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

ตลอดเส้นทาง ได้สัมผัสกับขุนเขาสูงชัน แมกไม้นานาพันธุ์ในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ สายน้ำใสไหลเย็นฉ่ำชื่นใจ และมิตรไมตรีจากผู้คนจนประทับใจมาถึงทุกวันนี้

          เมื่อมีโครงการผันน้ำยวมลงเขื่อนภูมิพล เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำชลประทานและน้ำอุปโภคบริโภคให้กับภาคกลางมากถึง 1,610,026 ล้านไร่ ผันน้ำยวมไปใช้มากถึง 1,795 ล้านลบ.ม.ต่อปี แบ่งเป็นน้ำเพื่อการชลประทาน 1,495 ล้านลบ.ม.ต่อปี น้ำประปาภูมิภาค/ท้องถิ่น 50 ล้านลบ.ม.ต่อปี และประปานครหลวง 250 ล้านลบ.ม.ต่อปี[1]

คำถามหนึ่งซึ่งผุดขึ้นมาในฐานะคนต้นน้ำ ซึ่งเดินตามคำสอนที่ว่า “กินน้ำให้รักษาน้ำ ใช้ป่าดินให้รักษาป่าดิน” โดยวิถีคนอยู่กับป่าเช่นนี้ จึงมีผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่ขุนน้ำยวม คอยกักเก็บและปล่อยน้ำออกมา กลายเป็นสายธาราน้อยใหญ่ไหลมารวมกันเป็นลำน้ำยวม หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตสองฝั่งลำน้ำตลอดความยาวถึงอำเภอสบเมย 215 กิโลเมตร (ขณะที่ข้อมูลแหล่งเดียวกัน ปรากฏในรายงานแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้ำ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ธค.61 ระบุว่า น้ำยวมมีความยาว 240 กิโลเมตร-ไม่รู้ข้อมูลไหนถูก) ให้ปริมาณน้ำเฉลี่ย 521 ล้านลบ.ม./ปี ปริมาณน้ำเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 772.7 ลบ.ม./วินาที ปริมาณต่ำสุดอยู่ที่ 1.97 ลบ.ม./วินาที[2] ขณะที่ข้อมูลรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯมหาวิทยาลัยนเรศวรบอกว่า ปริมาณน้ำยวมเฉลี่ยอยู่ที่ 90.11 ล้านลบ.ม./วินาที โดยมีปริมาณน้ำสูงสุดในเดือนสิงหาคมและกันยายน ต่ำสุดที่เดือนธันวาคม

โดยปริมาณน้ำทั้งหมดนี้ ถูกใช้ไปในพื้นที่ลุ่มน้ำยวมตอนกลางและตอนปลายน้ำยวมเป็นส่วนใหญ่ คนต้นน้ำในพื้นที่ตำบลแม่อูคอ อ.ขุนยวม และตำบลห้วยโป่ง อ.เมืองแม่ฮ่องสอน กลับใช้น้ำตามลำห้วยหนองคลองบึงในการปศุสัตว์ ส่วนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคก็ใช้ระบบน้ำประปาภูเขา น้ำการเกษตรใช้ระบบเหมืองฝายขนานเล็ก ซึ่งมีไม่กี่แห่งในการผันน้ำมาใช้ปลูกพืชผักต่างๆ เช่น กระเทียม ส้มเขียวหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง กะหล่ำปลี มะเขือเทศ และแครอท พอในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ปัญหาขาดแคลนน้ำที่เคยมีก็กลับมาเยือนเป็นประจำทุกปี ทั้งๆที่มีลำธารในพื้นที่ต้นน้ำหลายสายไหลตลอดทั้งปี เช่นที่ตำบลแม่อูคอ มีลำน้ำถึง  3 สาย ได้แก่ น้ำแม่สุริน น้ำยวม และน้ำแม่ยวมน้อย แต่กลับมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กเพียง 1 แห่ง[3](ที่หย่อมบ้านปู่กู) ในพื้นที่ต้นน้ำเขตตำบลห้วยโป่งก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้รับการพัฒนาระบบน้ำให้ดีอย่างที่ควรจะเป็น

          ดังนั้น น้ำจากต้นน้ำส่วนใหญ่จึงไหลไปหล่อเลี้ยงพื้นที่กลางน้ำกับปลายน้ำยวมเป็นหลัก แต่กลับมีพื้นที่ชลประทานทั้ง 13 โครงการ ในเขตอำเภอขุนยวม แม่สะเรียง แม่ลาน้อย และสบเมย รวมกันเพียง 86,873 ไร่ โดยมีพื้นที่ชลประทานมากสุดที่อำเภอแม่สะเรียงและแม่ลาน้อย (ดังปรากฏตารางสรุปโครงการชลประทานที่ได้ก่อสร้างในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดปีงบประมาณ 2554)

         ถ้าร่วมพื้นที่ชลประทานที่สร้างเพิ่มระหว่างปีพ.ศ.2557-58 ในพื้นที่อำเภอแม่ลาน้อยและสบเมยอีก 2,575 ไร่ รวมกันเพียง 89,448 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 8.9 % ของพื้นชลประทานที่โครงการผันน้ำฯไปหล่อเลี้ยงภาคกลาง

          คำถามคือ ทำไมผันน้ำไปพัฒนาเขตชลประทานภาคกลางมากมาย ขณะที่คนต้นน้ำและลุ่มน้ำยวมแทบไม่ได้รับการเหลวแล นี้คือความเหลื่อมล่ำของการพัฒนาหรือไม่



[1] รายงานชี้แจงเพิ่มเติมครั้งที่ 3 รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เล่มที่ ½ “โครงการเพิ่มน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล” โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร, พฤษภาคม 2564

[2] สรุปข้อมูลโครงการชลประทานแม่ฮ่องสอน ประกอบการบริหารน้ำแบบมีส่วนรวมและการขยายพื้นที่ชลประทาน http://www.msrid.com/action/sarup%20ku.ms/ku.ms..pdf

[3] แผนพัฒนาท้องถิ่นตำบลแม่อูคอและตำบลห้วยโป่ง พ.ศ.2561-65

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สมเกียรติ มีธรรม ฯ ป่าไม้ ที่ดินทำกินและเศรษฐกิจชุมชน ความยั่งยืนของการจัดการไฟป่า

แม่แจ่ม จุดเปลี่ยนแห่งทศวรรษ

ข้อเสนอสีเขียว : แม่วากโมเดล รูปธรรมบูรณาการจัดการดินน้ำป่า สู่การแก้ปัญหาเชิงนโยบาย ภายใต้แม่แจ่มโมเดลและแม่แจ่มโมเดลพลัส