ออกไปจาก ฉีกหน้ากากไฟป่าภาคเหนือ 65


          ชีวมวลสะสมในปริมาณที่มากทุกปีในพื้นที่ป่าหลายแห่ง

ขาดการบริหารจัดการชีวมวลในป่าที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ

แนวคิด BURNING ZERO แบบสุดขั้ว

กฎหมายและระเบียบราชการเป็นอุปสรรคในการจัดการไฟป่า

นโยบายไม่เป็นระบบ ขาดความต่อเนื่องตั้งแต่บนลงล่าง และขัดกันเอง

รวมศูนย์อำนาจจัดการไฟป่า

ความขัดแย้งทางตรงและเชิงโครงสร้าง

          ประเด็นต่างๆที่ยกมาข้างต้น คือปัญหาและสาเหตุที่เคยนำเสนอไว้แล้วในช่วงที่ผ่านมา มีด้วยกันทั้งหมด 7 ตอน ครอบคลุมตั้งแต่มายเซ็ต ปริมาณเชิงเพลิงในป่า การบริหารจัดการ ไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยหาอ่านย้อนหลังได้ในเพจนี้

เมื่อพูดถึงทางออกก็ต้องบอกว่า ภาคประชาชนกับภาคประชาสังคมและชุมชน ก้าวหน้าก้าวไกลไปมากกว่าราชการรวมศูนย์มากแล้ว ข้อเรียกร้องต่างๆในเชิงนโยบายโดยภาคประชาชนต่อรัฐบาลที่ผานมาก็ยังไม่ได้รับการตอบสนอง กฎหมายอากาศสะอาดก็ไม่ขยับไปไหน กระจายอำนาจถ่ายโอนภารกิจจัดการไฟป่า ต้องบอกว่าครึ่งผีครึ่งคน คือโอนงบประมาณ(ปี66)แต่ไม่โอนคนหรือเพิ่มคนให้ท้องถิ่น จะถ่ายโอนภารกิจและอำนาจจัดการป่าไม้และไฟป่า ก็ต้องประเมินศักยภาพท้องถิ่นก่อนคอยว่ากัน

วันนี้ถ้าดูตามแผนการถ่ายโอนอำนาจ ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าต้องให้แล้วเสร็จในปีพ.ศ.2553 ผ่านมาแล้ว 10 ปี ภารกิจถ่ายโอนอำนาจก็ยังเป็นเสือกระดาษมาถึงทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่นี้คือความหวังในการแก้ไขปัญหาต่างๆเชิงพื้นที่ แต่มหาดไทยกลับไม่ยอมปล่อยให้ออกจากอุ้งตีนหมีไปง่ายๆ หรือกลัวว่าจะนั่งตบยุงไปวันๆ คุ้มไม่ได้และงบประมาณจะหดหายกันแน่

          ถ้าสรุปประเด็นปัญหาและสาเหตุข้างต้น เหลืออยู่ประเด็นเดียวคือเรื่องบริหารจัดการไฟป่า ส่วนประเด็นอื่นๆก็เพียงหยิบยกมาใช้ในการบริหารจัดการให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น หรือเรียกกันอีกอย่างว่ายกแม่น้ำทั้งห้ามาใช้ให้หมด

การบริหารจัดการไฟป่า วันนี้ต้องบอกว่าไม่ใช้เรื่องกระจอกงอกง่อยอีกต่อไป เพราะการบริหารจัดการไฟป่าไม่ได้มีขอบเขตแคบๆ เฉพาะการทำแนวกันไฟและชิงเผาอย่างที่เข้าใจกัน และทำๆกันทุกปีอย่างในเวลานี้ แต่มันหมายรวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลและองค์ความรู้ กลไกล(คน-กลุ่ม-ชุมชน) บริหารงบประมาณ การมีแผนงานที่ดี มีอำนาจในการจัดการ รวมเอาสิ่งเหล่านี้เข้าหากันอย่างลงตัวและเป็นองค์รวม เช่นเดียวกับการบริหารบริษัทและองค์กรต่างๆ ซึ่งต่อไปจะใช้คำว่า “การบริหารจัดการไฟป่าทั้งกระบวนระบบ”

การบริหารจัดการไฟป่าทั้งกระบวนระบบ จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ตรงนี้ อยู่ที่การประสานปัจจัยต่างๆเหล่านี้ให้เป็นองคาพยพเดียวกัน ในการขับเคลื่อนงานให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนและชุมชน ในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้กิจกรรมต่างๆเดินต่อไปได้ ต้องอาศัยศิลปะในการบริหารคนและชุมชนด้วยเช่นกัน ถ้ากลไกนี้ไม่ทำงานหรือทำงานที่ปราศจากหัวใจ ก็หวังได้เลยว่างานจะออกมาดีมีประสิทธิภาพและคุณภาพตามที่วาดหวัง

1.ต้องใช้ข้อมูลและองค์ความรู้บริหารจัดการไฟป่าทั้งกระบวนระบบ ไล่มาตั้งแต่ช่วงเตรียมการ รับมือ และฟื้นฟู ไม่ใช้ไฟลนก้นแล้วค่อยมาทำกัน ระดมคนระดมทรัพยากรต่างๆเข้าไปช่วยดับไฟป่าให้ผ่านๆไปในทำนองสักแต่ทำให้เสร็จ โดยไม่ใช้ข้อมูลและองค์ความรู้มาบริหารจัดการให้สำเร็จ หรือใช้ก็ใช้กันเพียงเล็กน้อยเฉพาะเทคนิควิธีการดับไฟป่า ซึ่งไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการทั้งกระบวนระบบ จึงทำให้อาสาสมัครและชาวบ้านจำนวนไม่น้อยประสบกับการบาดเจ็บ สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากมาย

ในการใช้ข้อมูลและองค์ความรู้ในการบริหารจัดการไฟป่าทั้งกระบวนระบบนั้น แบ่งเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ

1.2 ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่จำเป็นต้องรู้ ได้แก่ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่คนในพื้นที่รับรู้กันอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช้คนในพื้นที่ก็จำเป็นที่ต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน แม้รู้ไม่มาก อย่างน้อยๆก็ไม่สร้างภาระให้กับทีมงานในยามเผชิญเหตุ อาทิเช่น ถนนหนทาง เส้นทางคนเดินในป่า ลักษณะทางภูมิศาสตร์ อาทิเช่น ความสูงชัน สภาพป่า ประเภทป่า ห้วยหนองคลองบึงต่างๆ เรือกสวนไร่นา ประชากรในหมู่บ้าน อาชีพ รายได้ พื้นที่ทำกิน และที่อยู่อาศัย  ข้อมูลลักษณะนี้ต้องบอกว่าคนในพื้นที่รู้ดีที่สุด จึงจำต้องให้คนในพื้นที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำ

1.2 ข้อมูลสถิติต่างๆและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น ข้อมูลสถิติการเกิดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ย้อนหลัง ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ องค์ความรู้เรื่องไฟป่า เช่น ไฟจำเป็นไฟไม่จำเป็น ไฟบนดินใต้ดิน วิธีการผจญกับไฟป่า การใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ การปฐมพยาบาลพื้นฐาน สภาพภูมิอากาศแต่ละช่วงเวลาและแบบเรียลไทม์ แม้กระทั่งภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องจัดการไฟป่า ล้วนเป็นข้อมูลและองค์ความรู้ที่ช่วยให้บริหารจัดการได้ดีและมีประสิทธิภาพแทบทั้งสิ้น

2. ต้องมีกลไก (คน-กลุ่ม-ชุมชน) เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย เมื่อกลไกคือ

หัวใจ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยกระดับศักยภาพให้สูงขึ้นให้ทัดเทียมกับความซับซ้อนของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งนั้นก็หมายถึง การพัฒนาศักยภาพคน กลุ่ม และชุมชนไปพร้อมๆกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทำเรื่องอะไรต้องรู้เรื่องนั้น อย่างน้อยๆต้องห้าสิบหกสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปถึงจะปฏิบัติงานได้ดีมีประสิทธิภาพและคุณภาพ กลไกนี้แบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ

2.1 กลไกระดับชุมชน เป็นหัวใจสำคัญหรือเป็นไข่แดงในการดำเนินงานในพื้นที่ ความสำเร็จหรือล่ม

เหลวก็อยู่ที่กลไกนี้เป็นตัวชี้ขาด เนื่องจากเป็นทัพหน้าในการป้องกันและเผชิญเหตุในพื้นที่ ถ้าไม่มีกลไกนี้ พึ่งแต่กลไกระดับตำบล อำเภอ หรือกลไกจากภายนอกเข้ามาดำเนินการ ก็อย่าหวังว่าจะทำอะไรได้

ดังนั้น ถ้าจะให้กลไกชุมชนมีพลังในการขับเคลื่อนในพื้นที่ ต้องมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในรูปแบบคณะกรรมการ หรือชุดปฏิบัติดับไฟป่าหมู่บ้านก็ย่อมได้ มีประกันชีวิตและอุบัติเหตุ มีสวัสดิการอื่นๆที่เติมเต็มขวัญกำลังใจการทำงาน รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นดับไฟป่า

          เนื่องจากที่ผ่านมา ทัพหน้าประสบอุบัติบาดเจ็บและตายจำนวนมาก ภาครัฐทำได้เพียงมอบเงินช่วยเหลือเล็กๆน้อย พร้อมกับป้อนคำหวานๆในช่วงโศกเศร้าเสียใจและในช่วงเป็นข่าวผ่านสื่อต่างๆ จากนั้นก็หายไป จิตอาสาดับไฟป่าที่บาดเจ็บและเสียชีวิตที่ผ่านมากี่คนต่อกี่คน ไม่เคยได้รับการเหลียวแลตามระเบียบกฎหมายจากภาครัฐแม้สักคนเดียว เด็กหลายคนฐานะยากจนกำพร้าพ่อกำพร้าแม่ที่เสียชีวิตไปจากการดับไฟป่า ก็ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลช่วยเหลือต่อเนื่องกระทั่งทุกวันนี้ ทำให้พลังขับเคลื่อนในพื้นที่แผ่วเบาลงไปมาก พร้อมๆกับที่ภาครัฐก็ให้ความสำคัญกับทัพหน้าในสนามจริงน้อยตามลงไป โดยหันมาใช้คนในสังกัดปกครอง ท้องที่ ท้องถิ่น กรมป่าไม้ กรมอุทยาน และทหารเป็นหลัก จึงยากจะแก้ไขได้ถ้าไม่มีกลไกชุมชนเป็นทัพหน้า

2.2 กลไกระดับตำบล เป็นกลไกที่เข้ามาหนุนเสริมภารกิจระดับชุมชน/หมู่บ้าน เป็นหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและแก้ไขปัญหา นับตั้งแต่ช่วงเตรียมการ เช่น นำจัดทำแผนจัดการไฟป่าร่วมกับชุมชน จัดทำแผนพัฒนาป่าชุมชนร่วมกับคณะกรรมการป่าชุมชน สนับสนุนงบประมาณ และรณรงค์ประชาสัมพันธ์ สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการจัดการไฟป่า แต่ถ้าในช่วงเผชิญเหตุหรือช่วงห้ามเผา บทบาทดังกล่าวบางด้านก็จะเบาบางลงไป เพิ่มบทบาทใหม่เข้ามาในส่วนของงานลาดตระเวรไฟป่า เนื่องจากว่ามีเจ้าหน้าที่ประจำ แม้มีกำลังคนน้อยแต่ก็สามารถเดินทางไกลไปตามพื้นที่ต่างๆในเขตรับผิดชอบได้สะดวกทั้งวัน เจอไฟไหม้ป่าที่ไหนก็แจ้งชุมชนหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง หรือจะส่งผ่านมายังกลไกอำเภอก็ย่อมได้

เมื่อฤดูกาลไฟป่าผ่านพ้นไป กลไกตำบลก็ยังคงเดินต่อได้ในช่วงสร้างความยั่งยืน ด้านการป้องกัน การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดให้ ไม่ว่าจะเป็นการบวชป่า สืบชะตาแม่น้ำ และปลูกป่าก็ว่ากันไป แล้วแต่สติปัญญาและวิสัยทัศน์ผู้บริหารและฝ่ายประจำ ส่วนมาตรการป้องกันแทบจะไม่เห็นกลไกท้องถิ่นดำเนินการใดๆ เว้นไว้แต่ในบางท้องถิ่นที่ก้าวหน้า กล้าออกมาทำข้อมูลแนวเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินรายแปลง ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกับการออกโฉนดดินให้กับชาวบ้านของสำนักงานที่ดิน เพื่อป้องกันการขยายพื้นที่ทำกินในเขตป่าสงวนและอุทยาน

แต่ไม่มีอำนาจในการอนุมัติอนุญาตให้เอกสารสิทธิแก่ผู้ใด เนื่องจากอำนาจไปอยู่ที่กรมป่าไม้ กรมอุทยาน และกรมที่ดิน เป็นหลัก แม้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสร้างอาคารสำนักงานตนเอง ทำถนนหนทาง ไฟฟ้า พัฒนาแหล่งน้ำชุมชน ส่งเสริมอาชีพรายได้ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในตำบล ก็ต้องไปขอกับกรมป่าไม้กรมอุทยานเป็นหลัก

หรือกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็คือ ให้บทบาทหน้าที่ในการป้องกัน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรดินน้ำป่า แต่ทว่าไม่ให้งบประมาณ ไม่ให้ใช้ประโยชน์ ถ้าใช้ก็ต้องขอนุญาติตามกฎหมายและระเบียบกรมป่าไม้หรือกรมอุทยาน โดยมีอธิบดีเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติอนุญาตแต่เพียงผู้เดียว

เรียกว่าชุมชนและองค์กรที่อยู่ดูแลรักษากลับไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยนัยนี้จึงต้องเร่งรัดภารกิจถ่ายโอนอำนาจ ถ่ายโอนงบประมาณ ถ่ายโอนคนหรือเพิ่มคน ให้กับกลไกท้องถิ่นเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรดินน้ำป่า ชุมชนและองค์กรที่ดูแลรักษาก็จะมีพลังในการทำงานพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในเชิงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว

2.3 กลไกอำเภอ เป็นกลไกในการอำนวยความสะดวก กำกับ ติดตาม และประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เข้ามาหนุนเสริมกลไกระดับตำบลและหมู่บ้านให้เข้มแข็ง ไม่ใช้ไปล่วงกระเป๋ากองทุนต่างๆในหมู่บ้านและองค์กรปกครองท้องถิ่นมาไว้ที่ตนเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายแห่ง

ความร่วมไม้ร่วมมือหรือการมีส่วนร่วมจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ก็อยู่ที่กลไกนี้ ถ้ามีภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐในและนอกพื้นที่ สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน สื่อมวลชน รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่นท้องที่เข้ามาเป็นภาคีเครือข่ายและใช้ศักยภาพเท่าที่จะอำนวยได้ ก็จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปด้วยดี จะใช้วิธีทำMOUร่วมกัน หรือจะจัดตั้งเป็นคณะกรรมการและหรือคณะทำงานระดับอำเภอก็ย่อมได้ ใช้อัศวินโต๊ะกลมทำงาน ไม่จำเป็นต้องมีพระเอกคอยสั่งการแต่เพียงผู้เดียวก็สร้างการมีส่วนร่วมและจัดการร่วมกันได้

3. ต้องมีงบประมาณเพียงพอและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาต้องย่อมรับว่า งบประมาณเป็นปัญหาหนึ่งที่พูดถึงกันมากในการทำงาน เป็นเหมือนรถยนต์ที่ต้องหล่อเลี้ยงด้วยน้ำมันจึงจะวิ่งได้ งบมากน้ำมันมากก็วิ่งต่อเนื่องได้ไกล งบน้อยน้ำมันน้อยก็วิ่งได้ไม่ถึงไหน ถ้าไม่มีงบประมาณเสียเลยก็คงทำกันไม่ได้และประเทศนี้คงไม่ขยับไปไหนกันแน่ แต่นั้นก็ใช้ว่าจะกะรันตีความสำเร็จได้ บางทีงบน้อยงานทั้งเสร็จและสำเร็จก็มี งบมาก งานเสร็จแต่ไม่สำเร็จก็มีถมไป

ปัญหาการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆในประเทศไทย ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังแก้กันไม่ตกสักที และเป็นปัญหาเชิงนโยบายที่รัฐบาลไทยเป็นมาตลอดทุกยุคสมัย ยิ่งกฎหมายฉบับใดไปเกี่ยวข้องกับการเงินการคลังด้วยแล้ว แม้เป็นประโยชน์กับประชาชนมากเท่าไหร่ ก็ถูกตีตกไปตั้งแต่ในยกแรกแล้ว

ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลต้องการทำอะไร ใช้งบหมื่นล้านแสนล้านก็หามาได้โดยไม่ฟังเสียงประชาชน ประเทศไทยจึงวนอยู่แบบนี้มานานไม่มีทางเดินหน้าไปไหน มิใยต้องเอ่ยถึงงบประมาณกระทรวงต่างๆที่ถูกหั่นกันเป็นว่าเล่นในแต่ละปี ขณะที่บางกระทรวงดูแล้วยังไม่จำเป็นเท่าไหร่ในเวลานี้ แต่กลับเทงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ด้วยเหตุดังนั้น เราจึงพูดกันไม่ออก หากเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องบอกว่างบน้อย-คนน้อยทำได้แค่นี้ แต่ถ้ามีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้น บางกรณีงบงานไม่รู้เดินทางมาจากไหน ขี้ช้างจับตั๊กกระแตนกันไปก็ไม่หวั่น บูรณาการกันมาได้หมดตั้งแต่รัฐบาลลงมาจนถึงกระทรวงและกรมกองต่างๆ

ขณะที่ปัญหาหมอกควันไฟป่าภาคเหนือบน มีผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และเศรษฐกิจมากมายในทุกๆปี นอกจากไม่เคยมีประกาศให้เป็นเขตภัยพิบัติแล้ว งบประมาณแต่ละปีสำหรับทำกิจกรรมแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า เมื่อนำมาจัดสรรให้กับตำบลต่างๆ ได้กันเพียงหลักหมื่นบาทต่อปี โดยไม่มีเหลือถึงชุมชนซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าแต่อย่างใด

ส่วนหน่วยงานป่าไม้แต่ละปี แม้มีงบประมาณไม่มาก หากแต่ถูกใช้จ่ายไปกับค่าจ้างและอบรมเสียเป็นส่วนใหญ่ แทบจะไม่ก่อประโยชน์ใดๆเอาเลย เว้นแต่บางปีที่พอมีงบประมาณมาถึงชุมชน แต่กิจกรรมและผลงานที่ออกมา ก็แทบจะไม่ตอบโจทย์ใดๆในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า

ที่กล่าวมาข้างต้น ต้องการชี้ให้เห็นปัญหาการจัดสรรงบประมาณ และการใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า ถ้าว่ากันจริงๆ ก็เหมือนโยนก้อนหินลงมหาสมุทรโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะผุดขึ้นมาสักที เลี้ยงไข้กันไปเช่นนี้โดยไม่มีแผนการใช้งบประมาณกับกิจกรรมที่สร้างสรรค์ไปกว่าเดิม นี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า

4. ต้องมีแผนงานจัดการไฟป่าที่ดี แผนงานจัดการไฟป่าที่ดี มีน้อยมากที่ออกมาจากข้างบน โดยที่คนข้างล่างไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ในการทำแผนงานจัดการไฟป่าที่ดีนั้น ต้องออกมาจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบน จากการระดมความเห็นระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ เป็นหลัก จังหวัดเพียงทำหน้าที่จัดหมวดหมู่ เอาแผนงานบรรจุในแผนงบประมาณ เตรียมหนุนเสริมชุมชนและองค์กรต่างๆที่ทำงานในพื้นที่ หรือถ้ามีไอเดียดีๆอะไรก็เติมเต็มลงไปได้

หากแต่ที่ผ่านมาต้องบอกว่า ไม่มีหน่วยงานไหนลงมาคลุกคลีกับชาวบ้าน ร่วมคิดร่วมทำแผน และร่วมรับผิดชอบอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่ก็นั่งมโนในห้องแอร์เป็นหลัก จึงยากที่จะเห็นแผนงานจัดการไฟป่าที่สร้างสรรค์ มากกว่าการทำแนวกันไฟ การจัดอบรม หรือจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ดับไฟป่า จนแทบจะพูดได้ว่าไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเลยก็ว่าได้ เพียงสักแต่ทำให้เสร็จเป็นปีๆไป โดยไม่คิดให้ครอบคลุมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เป็นแผนงานที่ก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงทีขั้นอย่างชัดเจน มีการกำกับติดตาม ทำรายงาน ประเมินผลในระดับพื้นที่ แล้วส่งต่อให้จังหวัดนำไปปรับปรุงจัดทำยุทธศาสตร์ แล้วส่งต่อไปให้กับรัฐบาลนำไปกำหนดเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าระดับประเทศ

จากประสบการณ์เล็กๆที่ผ่านมา กรณีแม่แจ่มโมเดลแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าในปีพ.ศ.2559-60 ความสำเร็จเล็กๆในครั้งนั้น รัฐบาลถึงกับนำไปเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการไฟป่า ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารไทยคู่ฟ้า ส่งคนมาทำข่าวเผยแพร่ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และออกมติคณะรัฐมนตรีให้จังหวัดต่างๆนำไปประยุกต์ใช้ แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ไม่ทราบรายละเอียดแผนบริหารจัดการหมอกควันไฟป่าทั้งระบบในเวลานั้นมากนัก หากจะทบทวนย้อนหลังก็แทบไม่ต่างจากที่กล่าวมานี้ เพียงแต่มีรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่แตกต่างกันไปเท่านั้น

5. ต้องมีอำนาจควบคู่กับภารกิจ คน และงบประมาณ ในการบริหารจัดการทั้งกระบวนระบบ ไม่ใช้ให้ภาระกิจแต่ไม่มีอำนาจ ไม่มีงบประมาณ และไม่มีคนขับเคลื่อนอย่างจริงจัง กระทั่งวันนี้ต้องบอกว่า ในระดับพื้นที่ไม่มีหน่วยงานใดทำหน้าที่หลัก จะกระจายอำนาจก็ไม่มีความชัดเจน เห็นทำกันมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2547 ตามแผนให้แล้วเสร็จในปีพ.ศ.2553 ผ่านมายาวนานถึง 10 ปี ภารกิจนี้ก็ยังไม่ก้าวหน้าไปไหน หรือจะรอให้กระจายอำนาจจังหวัดจัดการตนเองก่อนก็มิทราบได้

การกระจายอำนาจ ภารกิจ งบประมาณ และคน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละที่แต่ละแห่งแตกต่างกันไป วันนี้โครงสร้างที่อุ้ยอ้ายกลายเป็นอุปสรรค์สำคัญในการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะกรณีเร่งด่วนด้วยแล้วไม่ทันการณ์เอาเลยก็ว่าได้ แม้ไม่เร่งด่วนก็ไม่สามารถพาองคาพยพเดินหน้าให้ก้าวไกลกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้

กรณีกลไกท้องถิ่นที่กล่าวมาข้างต้น เป็นตัวอย่างสำคัญที่ชี้ให้เห็นข้อจำกัดในการเข้ามาบริหารจัดการไฟป่าทั้งกระบวนระบบ เมื่อใช้ประโยชน์ไม่ได้ ขออนุมัติอนุญาตก็แสนยาก ชุมชนและองค์กรที่ไหนจะออกมาช่วยป้องกัน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรที่อยู่ข้างบ้าน

ในวันนี้ถ้าไม่เร่งรัดกระจายอำนาจจัดการทรัพยากรป่าไม้ ก็ต้องกระจายอำนาจให้จังหวัดจัดการตนเอง อำนาจที่มาพร้อมภารกิจ คน และงบประมาณ จะได้บริหารกันเต็มที่ ภาษีที่เสียไปก็จะไม่สูญเปล่า การพัฒนาก็จะก้าวหน้าก้าวไกลมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สมเกียรติ มีธรรม ฯ ป่าไม้ ที่ดินทำกินและเศรษฐกิจชุมชน ความยั่งยืนของการจัดการไฟป่า

แม่แจ่ม จุดเปลี่ยนแห่งทศวรรษ

ข้อเสนอสีเขียว : แม่วากโมเดล รูปธรรมบูรณาการจัดการดินน้ำป่า สู่การแก้ปัญหาเชิงนโยบาย ภายใต้แม่แจ่มโมเดลและแม่แจ่มโมเดลพลัส