ปฏิรูประบบราชการให้จิ๋วแต่แจ๋ว


เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2568 หลายท่านคงจะได้ข่าวประเทศเวียดนามปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป มีการยุบหน่วยงานในระดับอำเภอ เลิกจ้างข้าราชการ 7.9 หมื่นตำแหน่ง และออกกฎหมายครู กฎหมายการจ้างงานฉบับปรับปรุงใหม่ แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณา ร่างกฎหมายยกเว้นค่าเล่าเรียนทุกระดับชั้น รวมถึงขยายการศึกษาปฐมวัยเด็กอายุ 3-5 ปี โดยมีเป้าหมายเป็น“ประเทศรายได้ปานกลาง”ภายในปี 2030

1. ย้อนรอยปฏิรูประบบราชการไทย

สำหรับประเทศไทย การปฏิรูประบบราชการมีความพยายามทำกันมาต่อเนื่อง ย้อนไปสมัยอยุธยาเลยก็ว่าได้ ในเวลานั้น มีการจัดรูปแบบปกครองใหม่ให้มีกรมกลาโหม กรมมหาดไทย และหัวเมืองเอก-หัวเมืองโท มาในรัฐสมัยรัชกาลที่ 5 แบ่งราชการออกเป็นส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น มีการตั้งกระทรวงต่างๆขึ้นมาบริหารแผ่นดิน 12 กระทรวง พอในปีพ.ศ.2476 แบ่งการบริหารราชการออกเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น

นับจากนั้นมาร่วม 75 ปี ทุกรัฐบาลที่ขึ้นมาบริหารประเทศ ทำกันเพียงแบ่งส่วนราชการ จัดอัตราข้าราชการ ปรับปรุงแก้ไขระเบียบปฏิบัติราชการพลเรือน ปรับปรุงการบริหารงาน และงบประมาณ เท่านั้น

กระทั่งปีพ.ศ.2539-40 รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ” และออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูประบบราชการ พร้อมกับจัดทำแผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ (พ.ศ.2540-2544) พอมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นายชวน หลีกภัย ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้สานต่อปฏิรูประบบราชการ โดยจัดตั้ง ยกเลิก ยุบ หลายหน่วยงาน รวมถึงปรับลดบุคลากรของรัฐด้วย

ในปีพ.ศ.2545 รัฐบาลใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ ได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิรูประบบราชการ ให้มีคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางดำเนินการ ผลจากการระดมความเห็นได้ข้อสรุปออกมาหลากหลาย พอแบ่งได้ 3 ประเด็นใหญ่คือ 1) การปรับบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างส่วนราชการ ลดความซ้ำซ้อนของภารกิจที่แต่ละส่วนราชการปฏิบัติอยู่ โดยถ่ายโอนภารกิจให้กับท้องถิ่น และถ่ายโอนภารกิจไม่จำเป็นให้กับเอกชน 2.) การปราบทุจริตและประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการ 3) มุ่งเน้นสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Government

โดยมีการตรากฎหมายออกมา 2 ฉบับคือ พรบ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 และพรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ให้มีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะและให้คําปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการและงานของรัฐอย่างอื่น รวมถึงโครงสร้างระบบราชการ ระบบงบประมาณ ระบบบุคลากร มาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม ค่าตอบแทน และวิธีปฏิบัติราชการอื่น มีอำนาจหน้าที่กําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการจัดตั้ง การรวม การโอน การยุบเลิก การกําหนดชื่อ การเปลี่ยนชื่อ การกําหนดอํานาจหน้าที่ และการแบ่งส่วนราชการภายในของส๋วนราชการที่เป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการอื่น

ผลจากการปฏิรูประบบราชการครั้งนี้ มีการปรับโครงสร้างกระทรวงและกลุ่มหน่วยงานใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับบทบาท ภารกิจในการพัฒนาประเทศ และการบริการประชาชน เป็นหลัก โดยแบ่งกระทรวงออกเป็น 20 กระทรวง มีการโอนภารกิจที่ซ้ำซ้อนกันเกี่ยวเนื่องกันมาอยู่ด้วยกัน และมีการจัดตั้งกระทรวงใหม่ 6 กระทรวงได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ปัจจุบันเป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม ที่เหลือเป็นการปรับปรุงโครงสร้างที่มีอยู่เดิมดังนี้[1]


จากตารางข้างต้นพบว่า การปฏิรูประบบราชการในยุคสมัยนี้ มุ่งเน้นปรับโครงสร้างราชการส่วนกลางเป็นหลัก ไม่ได้ปรับโครงสร้างส่วนภูมิภาคตามไปด้วย มีการเพิ่มกระทรวง เพิ่มหน่วยงานต่างๆมากกว่ายุบรวมและเพิ่ม-ลดภารกิจหน่วยงานเดิม

ดร.อลงกต วรกี จากสถาบันพระปกเกล้า ให้ความเห็นว่า “..การปฏิรูประบบราชการในครั้งนี้ ปริมาณงานยังคงเท่าเดิม แต่มีบางหน่วยงานภาครัฐขาดแคลนอัตราข้าราชการจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายเพิ่มขึ้น และมีบางหน่วยภาครัฐมีอัตราข้าราชการมากกว่าปริมาณงานจากภารกิจที่โอนไปยังหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ แสดงว่ามีการเกลี่ยอัตราข้าราชการไม่เหมาะสมกับปริมาณงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม การปรับบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างหน่วยงานใหม่ ตามนโยบายการปฏิรูประบบราชการย่อมมีปัญหาอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะหน่วยงานภาครัฐบางหน่วยงานทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว แต่พอมีการปฏิรูประบบราชการ กลับเกิดปัญหามากกว่าเป็นการแก้ปัญหา แต่บางหน่วยงานภาครัฐเมื่อมีปฏิรูประบบราชการแล้วก็ทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การแยกภารกิจและแยกทรัพยากร เพื่อการบริหารออกจากกันสู่แต่ละหน่วยงานที่มีกลุ่มภารกิจแตกต่างกัน และมีการรวมอำนาจสู่ราชการบริหารราชการส่วนกลางมากขึ้น..”

2. สู่อนาคตอันเก่าแก่

มาถึงพศ.นี้ ผ่านไป 23 ปี การพัฒนาระบบราชการตามยุทธศาสตร์ที่กพ.และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(กพร.) กำหนดไว้คราวละ 5 ปี (ปีพ.ศ.2556-61) มุ่งพัฒนาระบบราชการให้มีความเป็นเลิศในด้านการให้บริการประชาชน พัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย เป็นมืออาชีพ บริหารทรัพย์สินของรัฐให้มีประสิทธิภาพ บูรณาการระบบราชการ สร้างการมีส่วนร่วม โปร่งใส และสร้างความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น ดูจะส่วนทางห่างไกลจากเป้าหมายออกไปทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพ ความทันสมัย ความเป็นมืออาชีพ ความโปร่งใส การบริหารทรัพย์สินของรัฐ และการบูรณาการกระทรวง กรม กองต่างๆ


ขณะที่มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐและแนวทางปฏิบัติ ปี 2562-65 และ ปี 2567-70 แทบจะไม่ต่างกัน เน้นบริหารกำลังคนและทรัพยากรบุคคลของรัฐ แต่ให้บริหารอัตรากำลังปกติทุกกระทรวง กรม กอง โดยส่งเสริมให้ส่วนราชการทบทวนภารกิจและการใช้กำลังคนที่มีอยู่ เพื่อให้ภาครัฐมีขนาดและต้นทุนที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานที่สามารถถ่ายโอนภารกิจมาเป็นตำแหน่งงานหลักที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ปรับปรุงรูปแบบการจ้างงานภาครัฐให้หลากหลาย ยืดหยุ่น ครอบคลุม ให้มีการจ้างงานในรูปแบบสัญญามากขึ้น และลดการจ้างงานแบบตลอดชีพลง เน้นตรึงอัตรากำลังโดยไม่เพิ่มกรอบอัตรากำลังตั้งใหม่ในภาพรวม บริหารตำแหน่งว่างที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพ และเข้มงวดการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้เป็นไปตามมติครม. 14 มี.ค.2566 แต่กำลังคนของรัฐก็ยังสูงมากหากเปรียบเทียบกับอารยประเทศ

    2.1 กำลังคนภาครัฐไม่ลด
ผ่านมา 2 ปี (2566-67) มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐและแนวทางปฏิบัติ ไม่ทำให้กำลังคนภาครัฐที่เป็นข้าราชการลดลงแต่อย่างใด ในตรงกันข้าม กลับเพิ่มขึ้น 0.63% หรือ 95,802 คน ขณะที่กำลังคนประเภทอื่น ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราว พนังงานจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานกระทรวงสาธารณสุข ลูกจ้างประจำ และพนักงานองค์กรมหาชน ลดลงเพียง 1.24% หรือ 186,425 คน โดยไม่รู้ว่าเป็นผลจากมาตรการฯดังกล่าวหรือไม่ (ดังปรากฎในกราฟแนวโน้มกำลังคนภาครัฐ ระยะ 10 ปี, สำนักงานกพ. กำลังคนภาครัฐ, 2567)
แต่ถ้ามองในภาพรวม ก็จะเห็นกำลังคนภาครัฐลดลงไป 90,623 คน จาก 3,037,803 คนในปี2566 มาอยู่ที่ 3,004,485 คนในปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 4.56 ของกำลังแรงงานในประเทศ 40.54 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 61.47 ของประชากร 65.95 ล้านคน เฉลี่ยกำลังคนของภาครัฐ 1 คนต่อประชากร 22 คน ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยกำลังคนภาครัฐจากปี 2566 แต่ประการใด

ถ้านำกำลังคนภาครัฐต่อประชากรไทย ไปเปรียบเทียบกับประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และประเทศญี่ปุ่น พบว่า ประเทศไทยมีกำลังคนภาครัฐสูงกว่าประเทศญี่ปุ่นมากถึงเท่าตัว ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคนเท่านั้น ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรสูงถึง 124 ล้านคน ประเทศเกาหลีใต้ก็เช่นกัน มีประชากร 52 ล้านคน มีกำลังคนภาครัฐ 1.1 ล้าน คิดเป็น 2.1% ของประชากรทั้งประเทศ ยิ่งไปเปรียบเทียบประเทศใหญ่ๆอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประชากรมากถึง 333 ล้านคน มีกำลังคนภาครัฐ 23 ล้านคน คิดเป็น 6.9% ของประชากรเท่านั้น

    2.2 รายจ่ายบุคคลากรสูงลงทุนต่ำ
พอกำลังคนของภาครัฐมาก สิ่งที่ตามมาก็คือ งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากกราฟแสดงโครงสร้างงบประมาณประจำปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2545 ซี่งเป็นปีที่มีการปฏิรูประบบราชการมาจนถึงปีพ.ศ.2568 พบว่า งบประมาณประจำปีสูงขึ้นตามลำดับพร้อมกับรายจ่ายประจำ ขณะที่งบรายจ่ายลงทุนต่ำคู่ขนานกันมาต่อเนื่องตลอด 29 ปีที่ผ่านมา หรือจะนับย้อนหลังลงไปอีกหลายสิบปีก็ไม่ต่างไปจากนี้
เราจึงเป็นประเทศที่รายจ่ายลงทุนต่ำกว่ารายจ่ายประจำปี โดยในปีพ.ศ.2568 วงเงินงบประมาณมาแตะที่ 3.75 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้มีงบประมาณรายจ่ายประจำสูงถึง 2,860,436.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 71.4% ขณะที่งบลงทุนมีเพียง 932,362.1 ล้านบาท คิดเป็น 24.8% ของงบรายจ่ายประจำปีเท่านั้น

ในจำนวนงบรายจ่ายประจำนี้ มีงบรายจ่ายบุคลากรที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี จนมาแตะที่ 800,683.0 ล้านบาท คิดเป็น 29.8% ของงบรายจ่ายประจำ นอกจากนั้น ยังมีงบเบี้ยหวัด บำเหน็บ-บำนาญ 364,288.75 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของงบรายจ่ายประจำ

จากข้อมูลรายงานสถิติการคลัง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2567 กรมบัญชีกลาง พบว่า ค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มสูงขื้นต่อเนื่อง ระหว่างปี 2563-67 หรือย้อนหลังไปในปี 2555 - 2564 ก็ไม่ต่างไปจากนี้ ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.03% ต่อปี งบบุคลากร เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.73% ต่อปี ขณะที่เงินเบี้ยหวัด บำเหน็บบำนาญ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงถึง 10.82% ต่อปี (ดังแสดงในกราฟแนวโน้มงบประมาณฯพ.ศ.2555-64)
แผนภูมิภาคต่อพ.ศ.2563-2567

มาในปีพ.ศ.2566 - 2567 ค่าใช้จ่ายบุคลากร จำแนกตามประเภทค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบก็ยังเพิ่มสูงขึ้น ทั้งเงินเดือนและค่าจ้าง เงินช่วยเหลือด้านการศึกษาและการรักษาพยาบาล ยิ่งค่าบำเหน็บบำนาญก็ขยับสูงขึ้นทุกปี (ดังกราฟแสดงค่าใช้จ่ายบุคคลากร จำแนกตามประเภทค่าใช้จ่าย งบประมาณ พ.ศ.2566-2567)

    2.3 ประสิทธิภาพต่ำ
การพัฒนาระบบราชการตามยุทธศาสตร์ที่กพ.และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(กพร.) กำหนดไว้ 5 ปี (พ.ศ.2556-61) เป็นยุทธศาสตร์พัฒนาระบบราชการ ที่ให้มีความเป็นเลิศในด้านการให้บริการประชาชน พัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย เป็นมืออาชีพ บริหารทรัพย์สินของรัฐให้มีประสิทธิภาพ บูรณาการระบบราชการ สร้างการมีส่วนร่วม โปร่งใส และสร้างความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น ดูจะส่วนทางห่างไกลจากเป้าหมายออกไปทุกที ทั้งประสิทธิภาพ ความทันสมัย ความเป็นมืออาชีพ ความโปร่งใส และการบูรณาการกระทรวง กรม กองต่างๆ

ถ้าดูจากข้อมูลการสำรวจของ World Economic Forum, Global Competitive Report 2014-2015 พบว่า คะแนนขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการภาครัฐของประเทศไทย ถัดจากยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการประกาศใช้ 2 ปี โดยรวมอยู่ในระดับต่ำมากจากคะแนนเต็ม 7 ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่น ศรัทธา ของประชาชนต่อฝ่ายการเมือง ประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน ความสามารถในการบริหารจัดการกองทุน การไม่เล่นพรรคเล่นพวก ฯ เป็นต้น (ดูกราฟคะแนนขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการภาครัฐฯปี2557-58)
เมื่อขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการภาครัฐอยู่ในระดับต่ำ ย่อมส่งผลต่อการแข่งขันโดยร่วมของประเทศสูงมาก ข้อมูลจากสถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development : IMD) พบว่า ในปีพ.ศ.2555-2566 ประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) ดีขึ้น จากลำดับ 31 มาอยู่อันดับที่ 24 แต่อีก 2 ปีต่อมาประสิทธิภาพของรัฐกับลดจากอันดับที่ 22 มาอยู่ที่อันดับที่ 32 ในปีพ.ศ.2568 ขณะที่ขีดความสามารถแข่งขันของโดยรวมลดลง จากอันดับที่ 25 มาอยู่ที่อันดับ 30 ใน 69 ประเทศ ต่ำกว่าประเทศมาเลเชียและสิงคโปร์มาก

    2.4 ความโปร่งใสต่ำ ประพฤติมิชอบและทุจริตพุ่งสูง
จากข้อมูล “สถานการณ์การทุจริตประเทศไทย” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จัดทำโดยสำนักบริหารงานกลาง สำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต สำนักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช.พบว่า

ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีคำกล่าวหาเข้ามายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยภาพรวมสูงถึง 11,662 เรื่อง จากหลากหลายช่องทาง โดยช่องทางที่มีการกล่าวหามากที่สุดได้แก่ หนังสือร้องเรียน ร้อยละ 46.58 รองลงมาเป็นหนังสือราชการ ร้อยละ 23.70 และบัตรสนเท่ห์ ร้อยละ 20.69 ตามลำดับ ส่วนมากทำเป็นหนังสือร้องเรียน หนังสือราชการ ร้องเรียนด้วยวาจา จำนวน 8,389 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 71.93 รองลงมาได้ร้องเรียนโดยใช้บัตรสนเท่ห์ เว็บไซต์ แจ้งเบาะแส 3,273 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 28.07 สูงกว่าปีก่อนหน้าทั้งหมด เมื่อนำข้อมูลคำกล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มาเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย 6 ปีงบประมาณ (พ.ศ. 2562-2567) พบว่า คำกล่าวหาเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 19.47 (ดูตารางที่ 1 จำนวนคำกล่าวหา จำแนกข้อมูลตามพื้นที่รับผิดชอบและปีงบประมาณที่เกิดเหตุ)
ประเภทคำกล่าวหาที่เข้ามาสู่สำนักงาน ป.ป.ช. มากที่สุดคือ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยงานที่ถูกกล่าวหาร้องเรียนมากที่สุด และหากพิจารณาประเภทคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดภายใน 6 ปีงบประมาณ พบว่าส่วนใหญ่เป็นคดีประเภทการจัดซื้อจัดจ้างมากที่สุด ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฯ ตามลำดับ จำนวนเรื่องที่ สำนักงานปปช. รับดำเนินการเอง จำนวน 3,388 เรื่อง มีวงเงินงบประมาณของโครงการหรือจำนวนเงินที่มีการทุจริต 11,834,479,786 บาท (ดังปรากฏในตารางวงเงินงบประมาณของโครงการหรือจำนวนเงินที่มีการทุจริตตามคำกล้าวหาที่สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินเอง จำแนกตามประเภทคำกล่าวมหา)
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น เห็นได้ชัดว่าผลของการปฏิรูประบบราชการ และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ เพื่อแก้ปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบล้มเหลว การไม่รับของขวัญที่ส่วนราชการรณรงค์ทุกสิ้นปีไม่มีประโยชน์อันใด การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยการเอื้อกับพวกพ้อง การตั้งนอมินีขึ้นมารับงานส่วนราชการ การคอรับชั่นเชิงนโยบาย ที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายในการกำหนดนโยบายของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐในด้านการค้าการลงทุนต่างๆ เช่น ผลักดันโครงการในชั้นกรรมาธิการบรรจุในแผนงบประมาณประจำปีในพื้นที่ของตน ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้กระทั่งในวันนี้ ขณะที่การประเมินขององค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย) พบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นราว 5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งล้วนแต่เป็นภาษีของประชาชนทุกคน

ในปีพ.ศ.2567 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้เผยแพร่ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริตหรือคอรัปชั่นจากจำนวน 180 ประเทศทั่วโลก พบว่า ประเทศไทยได้ 34 คะแนนลดลงจาก 35 คะแนนในปีก่อน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกจาก 108 ประเทศในปีที่แล้ว และอยู่ในอันดับที่ 20 ของเอเชียแปซิฟิก เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ไทยได้คะแนนอันดับที่ 8 รองจากสิงคโปร์ซึ่งได้สูงสุดที่ 84 คะแนน นี้คือโจทย์ใหญ่ในระบบราชการไทยที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน

    2.5 วัฒนธรรมองค์กรล้าหลัง
"ข้าราชการไทยอยู่ยาก ต้องเดินกุมเป้า เงียบๆ พูดน้อย นายว่านกเราก็นก เห็นความทุจริต ไร้ประสิทธิภาพ นโยบายเพี้ยน ก็ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ จึงจะมีความเจริญก้าวหน้า"

ข้อความข้างต้นนี้ เป็นข้อความของหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา ทำให้นึกถึงข้าราชการอีกท่านหนึ่งซึ่งถูกข้าราชการผู้ใหญ่ในจังหวัดชมหรือตำหนิก็ไม่แน่ใจ ทำนองว่า"เอ็งทำงานเก่งไปเสียไกลจนไม่ได้มองคนอื่นเลยนะ” ท่านเล่าให้ฟังว่า ทีแรกก็ไม่คิดอะไร พอนึกขึ้นได้ก็รู้ว่ากูถูกด่าเข้าแล้ว

ระบบราชการไทย เป็นระบบที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันออก กับโครงสร้างบริหารองค์กรที่รวมศูนย์อำนาจบวกกับการเมืองเข้ามาผสม กลมกล่อมลงตัวพอดี กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ มีการเมืองเข้ามาผสมชัดเจน ถ้าเป็นกรณีหลังแสดงออกถึงวัฒนธรรมตะวันออกกับโครงสร้างบริหารองค์กรที่รวมศูนย์อำนาจ โดยปราศจากการเมืองเข้ามาผสม

ปมที่แก้ยากสุดในระบบราชการไทย ซึ่งเข้าไปอยู่ในดีเอ็นเอแล้วก็คือวัฒนธรรมตะวันออก หรือความเป็นตะวันออก เช่น เชื่อฟังผู้ใหญ่หมาไม่กัด ต้องรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ หนี้ต้องทดแทนแค้นต้องชำระ เด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ ให้เกียรตินับถือบรรพบุรุษ อย่าลบหลู่ผู้อาวุโสพ่อแม่ครูอาจารย์ ฯ - หน้าที่ 10 ประการของเด็กดี ยิ่งมีโครงสร้างเชิงอำนาจตามระเบียบกฎหมายเข้ามากำกับให้คุณให้โทษได้ ทำให้คนที่มีตำแหน่งสูงพูดอะไรคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าต้องฟังและปฏิบัติตาม โดยไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นใดๆ แม้ไม่ถูกต้องก็ตาม

วัฒนธรรมแบบนี้ เป็นวัฒนธรรมที่บั่นทอนความก้าวหน้า หรือบั่นทอนพลังแห่งการเรียนรู้ของปัจเจกชนและองค์กรไปจนถึงประเทศ เป็นวัฒนธรรมที่ขาดการตั้งคำถาม ขาดการรับฟังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกที่ศิษย์ล้างครูได้และไปเติบโตด้วยตนอง เช่น เพลโต(Plato) ซึ่งเป็นอาจารย์ของอริสโตเติล (Aristotle) การถกเถียงระหว่างครูกับศิษย์ ได้วางรากฐานขององค์ความรู้มากมายในโลกปัจจุบัน หรือแม้นักวิทยาศาสตร์ตะวันตกก็เช่น วัฒนธรรมการถกเถียงได้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆมากมายฝากไว้บนโลกใบนี้

    2.6 บทบาทและภารกิจทับซ้อน เปลืองงบเปลืองคน
หลังปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการปีพ.ศ.2545 การเพิ่ม-ยุบ-ลด-ขยายหน่วยงาน ด้วยการแตกบทบาทและภารกิจในประเด็นเดียวกันออกไป ทำให้เกิดหน่วยงานใหม่ที่ทำเรื่องเดียวกัน แต่แยกบทบาทและภารกิจกันทำก็มีอีกไม่น้อย

เช่น หน่วยงานด้านน้ำ กรมชลประทาน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กับกรมทรัพยากรน้ำ ทั้งสามหน่วยงานนี้ แบ่งบทบาทและภารกิจด้านน้ำกัน กรมชลประทานเน้นการจัดหาน้ำ และจัดสรรน้ำ เพื่อการเกษตรและผู้ใช้น้ำ กรมทรัพยากรน้ำเน้นการรักษาทรัพยากรน้ำ การจัดสรรการใช้น้ำ และการพัฒนางานวิชาการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำทั้งระบบ วางแผน และบูรณาการทำงานหน่วยงานต่างๆ ซึ่งบางภารกิจก็ซ้ำซ้อนกัน เช่น การจัดสรรการใช้น้ำ มีทั้งกรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำ หรือแม้แต่งานวิชาการก็มีทั้ง 3 กรม

กรมทรัพยากรธรณีวิทยา และกรมอุตสหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ แม้จะแยกบทบาทและภารกิจกันกันค่อนข้างชัด แต่กรมทรัพยากรธรณีไม่มีกฎหมายรองรับและไม่สถานภาพใดๆ ในการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรณี ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่มีสถานภาพในการปฏิบัติงาน ดังนั้น การสำรวจที่เกิดขึ้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ และไม่มีความต่อเนื่องกับการอนุญาตประทานบัตรแร่ของกรมเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรมแต่อย่างใด ซึ่งนั้นก็หมายถึงกรมเหมืองแร่สามารถออกประทานบัตรแร่โดยไม่มีการยึดถือข้อมูลการสำรวจทางด้านธรณีวิทยาก็ได้ ที่ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่อพบแร่ธาตุบางประเภท และซากพืชซากสัตว์เป็นหิน(ฟอสซิล) กรมทรัพยากรธรณีไม่มีอำนาจในการยึดเป็นของกลางเป็นเป็นสมบัติของชาติได้

ประเด็นที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้นนี้ ยังมีปรากฏอยู่ในหลายกระทรวง แม้กระทั้งหน่วยงานสังกัดสำนักนายก อย่างสำนักงานกพ.และกพร. ก็ไม่จำเป็นต้องแยกให้เปลืองงบเป็นคนด้วยซ้ำ คล้ายๆกับกรมทรัพยากรธรณีวิทยา และกรมอุตสหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

    2.7 รวมศูนย์อำนาจ-งบ-คน
ประเด็นราชการรวมศูนย์ถูกพูดถึงกันบ่อยมากๆ นับทศวรรษที่ผ่านมา ถ้าพิจารณาจากสัดส่วนตัวเลขกำลังคนภาครัฐส่วนกลางและภูมิภาคปี 2567 ที่สูงถึง 1,564,683 ล้านคน มากกว่าท้องถิ่นถึงสองเท่าตัว ซึ่งอยู่ที่จำนวน 544,858 คนเท่านั้น แค่นี้ก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงยุทธศาสตร์ภาครัฐที่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจส่วนกลางไม่เปลี่ยน ใครจะทำอะไรที่ไหนต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจสูงสดที่ส่วนกลางทั้งหมด

จากประสบการณ์ที่ทำงานพัฒนาในพื้นที่และร่วมกันท้องถิ่นมานาน ประสบปัญหาการขออนุญาตพัฒนาพื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดมา แม้กระทั่งท้องถิ่น อบต., เทศบาล ก็บ่นกันในการขออนุญาตก่อสร้างโครงสร้างพื้นที่ฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา แม้บ่อขยะเล็กๆ กว้างยาวไม่กี่เมตร ก็ต้องขออนุญาตจากอธิบดีกรมป่าไม้ หรือเกี่ยวข้องกับกรมไหนก็ต้องขอฯกรมนั่น ซึ่งอยู่ที่ส่วนกลางทั้งหมด หน่วยงานในพื้นที่ต้องส่งเรื่องผ่านอำเภอ ไปวนอยู่ในจังหวัดอีก 2 - 3 หน่วยงาน กว่าจะถึงกรมป่าไม้หรือกรมอื่นๆ เข้าคิวอยู่บนโต๊ะอธิบดีอีกหลายสัปดาห์ กว่าจะได้รับหนังสือตอบกลับมา ซึ่งไม่รู้ว่าอนุญาตหรือไม่ เงินงบประมาณประจำปีก็ผ่านหรือตกไป ต้องทำเรื่องใหม่อีก

การตัดสินใจหรือตัดสินชะตาประชาชนและชุมชนก็เช่นเดียวกัน อยู่ที่ส่วนกลางทั้งหมด ประชาชนและชุมชนไม่มีโอกาสกำหนดชะตาชีวิตของตนด้วยซ้ำ จะอยู่จะไปคนไม่กี่คนกำหนดให้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่งซี่งประสบมาด้วยตนเองจากการทำงานพัฒนาชุมชนก็คือ การดำเนินโครงการหรือกิจการต่างๆของรัฐและเอกชน ประชาชนในพื้นที่แทบจะไม่มีส่วนร่วมใดๆ หรือมีก็เป็นเพียงพิธีกรรมในนาม“การมีส่วนร่วม”เท่านั้น แต่ความเห็นต่างๆไม่เป็นข้อโต้แย้งให้ยุติโครงการหรือกิจการได้ อย่างมากก็เพียงรับรู้รับทราบข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะเท่านั้น ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ฯ

ผ่านไป 23 ปี นับแต่มีการปฏิรูประบบราชการ กระทั่งมาถึงแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการของสำนักงานกพ. และกพร. ก็แทบไม่เคยพูดถึงการปฏิรูประบบราชการที่รวมศูนย์อำนาจอย่างไร เพื่อปลดล็อกให้กับประชาชนและองค์กรท้องถิ่นมีอำนาจกำหนดชะตาตนเองมากกว่าปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตและงบประมาณจากราชการส่วนกลางมากไป

    2.8 กฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ ยุ่งยากซับซ้อน กีดกัน และจำกัดสิทธิ์ประชาชนแต่เอื้อให้กับคนบางกลุ่ม
จากข้อมูลกฎหมาย กองกฎหมายไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุข้อมูลกฎหมายของไทย ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 15,699 ฉบับ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 1 ฉบับ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา 130 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 10 ฉบับ พระราชบัญญัติ 910 ฉบับ พระราชกำหนด 39 ฉบับ ประมวลกฎหมาย 8 ฉบับ พระราชกฤษฎีกา 7,298 ฉบับ และกฎกระทรวง 7,433 ฉบับ นี้ยังไม่นับประกาศ ระเบียบหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติ ขออนุมัติอนุญาตกรมกองต่างๆภายในแต่ละกระทรวงอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ตัวอย่างเช่น ขั้นตอนอนุมัติอนุญาตการใช้ประโยชน์ที่ดิน คทช. เนื่องจากต้องอิงกฎหมาย ระเบียบ มติครม.อื่นที่ล้าหลัง เช่น อิงกับมติครม.30 มิ.ย.41 อิงกับมติครม.ว่าด้วยชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ อิงกับพรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ และอิงกับคำสั่งคสช.ที่ 64 และ 66/2557 จึงเป็นเหตุทำให้การทำงานล่าช้า ข้าราชการก็กลัวผิดระบียบ ตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งระยะเวลาการถือครองที่ดิน ขอบเขตพื้นที่ตามมติครม.30 มิ.ย.41 ตรวจสอบกับมติครม.ว่าด้วยชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ จากนั้นจึงดำเนินการตาม ม.16 พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติและคำสั่งคสช.ฯ

ผลจากขั้นตอนที่ซับซ้อนดังกล่าว ทำให้ที่ดินทำกินอาศัยใน 1 แปลง ถูกแบ่งออกเป็น 2 ถึง 3 ส่วนตามพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ สมุดประจำตัวคทช.ก็ออกตามชั้นคุณภาลุ่มน้ำเช่นกัน ทำให้ที่ดินทำกินอาศัยใน 1 แปลงมีสมุดประจำตัวคทช. 2 ,3 เล่มใน 1 แปลง ถ้าแปลงไหนอยู่ในกลุ่ม 2 ต้องปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจกับป่า 3 อย่าง ในแปลงเดียวกันอีกต่างหาก

การขออนุญาตปรับปรุงถนนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ผ่านพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่ม 1 - 5 ก็เช่นกัน โดยกฎหมายและระเบียบที่ล้าหลัง ทำให้ต้องแยกคำขอออกไปตามชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ปรับปรุงถนนผ่านลุ่มน้ำชั้นไหนก็ต้องทำคำขอใหม่ ส่งผลทำให้ท้องถิ่นต้องทำคำขอ 3 - 4 คำขอ

เท่านั้นยังไม่พอ กฎหมาย กฤษฎีกา ระเบียบวิธีปฏิบัติ ยังจำกัดสิทธิ์ในที่ดิน สงวนไว้เป็นของรัฐ อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในระยะเวลาและจำนวนที่กำหนดเท่านั้น ในด้านสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินก็ถูกกำหนดโดยมติครม.และเงื่อนไข ทำอะไรได้บ้าง-ไม่ได้บ้าง อย่างนี้เป็นต้นจนประชาชนแทบจะทำอะไรไม่ได้

นี้เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นชัดๆเท่านั้น ยังมีกฎหมาย พรบ. พรฏ. ระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ อีกมากมายที่กีดกัน จำกัดสิทธิของประชาชนแต่เอื้อให้กับคนบางกลุ่ม เช่น พรบ.สรรพสามิต กรณีสุราก้าวหน้าที่เพิ่งปลดล็อกไปโดยไม่รู้ว่าระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติจะกีดกันจำกัดมากน้อยแค่ไหน

การขออนุญาตทำโรงแปรรูปไม้ หรือพืชผลการเกษตรอื่นก็เช่นกัน ต้องเช็คตั้งแต่ที่ดินอยู่ในเขตสีชมพูตามพรบ.ผังเมืองหรือไม่ ต้องวิ่งไปขอนุญาตปลูกสร้างอาคารกับท้องถิ่น ขอนุญาตจดทะเบียนเป็นบริษัทห้างหุ่นส่วนจำกัดกับพาณิชย์จังหวัด ขออนุญาตตัดไม้ ขอนุญาตขนไม้ ขออนุญาตใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ต่างๆ แยกกันไปหมด จะเปิดร้านขายก็ต้องไปจดทะเบียนใหม่ จะขนของไปส่งลูกค้าก็ต้องขออนุญาตอีก ฯ

ภายใต้ความยุ่งยากซับซ้อนเหล่านี้ เป็นสาเหตุสำคัญทำให้การพัฒนาประเทศล้าหลัง เนื่องจากถูก“แช่แข็ง"โดยกฎหมาย พรบ. พรฏ. ระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ ในระบบราชการมานาน เหลือเพียงนายทุนเท่านั้นที่จะดำเนินการฯได้ และกลายเป็นช่องทางเอื้อให้กับการคอรัปชั่นมากมายดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

3. อุปสรรคปัญหาการปฏิรูประบบราชการ

        3.1 ถูกต่อต้านจากข้าราชการในกระทรวง กรม กอง นั่นๆ กลัวว่าตนเองจะออกจากงานหรือเปลี่ยนงานใหม่ที่ไม่คุ้นเคย และหรือต้องย้ายไปอยู่ไกลบ้าน ซึ่งไม่สะดวกโดยประการทั้งปวง ต้องดูแลพ่อแม่หรือลูกยังเล็ก ซ้ำยังทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแต่เงินเดือนเท่าเดิมอีกต่างหาก นอกจากนั้น การเติบโตตามสายงาน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำถูกต่อต้านจากข้าราชการ บางคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะข้าราชการที่อยู่ระหว่างรอเลื่อนตำแหน่ง-เลื่อนขั้น ยิ่งกว่านั้นการโยกย้ายตำแหน่งใหม่อาจไม่เอื้อผลประโยชน์แก่ตนก็ได้จึงทำให้ถูกต่อต้าน

        3.2 ฝ่ายการเมืองไม่มีเจตนาแน่วแน่และต่อเนื่องในการปฏิรูประบบราชการ เนื่องจากกลัวกระทบฐานเสียงตัวเอง และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้รัฐบาลมุ่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาระยะสั้น เพื่อสร้างผลงานเรียกคะแนนเสียงและสะสมทุนไว้เลือกตั้งเสียมากกว่า

4. ข้อเสนอปฏิรูประบบราชการ ให้ทันสมัย ก้าวหน้า ทัดเทียมกับอารยประเทศ

    4.1 ปรับโครงสร้าง ลดคนลดงบ
        4.1.1 เออร์ลี่รีไทร์โดยสมัครใจ จากข้อมูลสำนักงานกพ.,กำลังคนของรัฐ พ.ศ.2567 พบว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญที่เกษียณอีก 10 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2568 - 2577 มีจำนวนประมาณ 94,701 คน เฉลี่ยปีละ 9,000 คน คิดเป็นร้อยละ 1.58 ต่อปี โดยตำแหน่งในสายงานที่จะมีจำนวนผู้เกษียณอายุมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงานธุรการ นายแพทย์ และเจ้าพนักงานสาธารณสุข

ในปีงบประมาณพ.ศ.2567 ส่วนราชการมีการสูญเสียอัตรากำลังข้าราชการพลเรือนสามัญ 19,006 คน คิดเป็นร้อยละ 4.59 ของตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญทั้งหมด แบ่งเป็นการสูญเสียจากการเกษียณอายุ 9,248 คน คิดเป็นร้อยละ 48.66 ลาออก 9,109 คน คิดเป็นร้อยละ 47.93 เสียชีวิต 452 คน ร้อยละ 2.38 และการออกด้วยเหตุผิดวินัย 197 คน คิดเป็นร้อยละ 1.04

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลข้างต้นพบว่า ถ้าลดกำลังคนภาครัฐ 5 แสนคน ให้เหลือ 2.5 ล้านคนจาก 3 ล้านคน โดยปล่อยให้เกษียณอายุไปโดยไม่เปิดหรือรับตำแหน่งใหม่ ต้องใช้เวลานานถึง 55.5 ปี ต่อเมื่อพิจารณาจากการสูญเสียอัตรากำลังพบว่า การลาออกจากราชการมีจำนวนสูงถึง 9,109 คน/ปี คิดเป็นร้อยละ 47.93 ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีข้าราชการอยากจะลาออกจำนวนไม่น้อย

ดังนั้น การเออร์ลี่รีไทร์โดยสมัครใจและให้บำนาญเต็มอัตราเป็นแรงจูงใจ เป็นแนวทางลดกำลังคนภาครัฐได้เร็วโดยไม่ถูกต่อต้าน เนื่องจากข้าราชการจำนวนมากต้องการลาออกอยู่แล้ว

           4.1.2 ออกพระราชบัญญัติเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ หรือเฉพาะจังหวัดที่พร้อม เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร เป็นการปฏิรูปโครงสร้างบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่ต้องไปแก้ไขหรือออกพรบ.บริหารราชการแผ่นดินใหม่ให้เหลือเพียงราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดก็เท่ากับตัดราชการส่วนภูมิภาคออกไปอัตโนมัติ ลดกำลังคนภาครัฐและลดงบประมาณลงได้มหาศาล งบลงทุนในการพัฒนาประเทศก็เพิ่มขึ้น

              4.1.3 ในกรณีที่ออกพรบ.เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดล่าช้า ก็ออกพรบ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ฉบับใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติม เช่นเดียวกันกับในปีพ.ศ.2545 ที่รัฐบาลสมัยนั้นออกพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 ยุบ โยก ควบรวม บทบาท ภารกิจ และองค์กร ให้จิ๋วแต่แจ๋วได้

        4.2 ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี อำนวยความสะดวก ลดความยุ่งยากซับซ้อน
     4.2.1 ปรับปรุงรูปแบบการให้บริการของรัฐระบบดิจิทัลให้เป็นระบบระเบียบ ครบจบทุกคำขอออนไลน์โดยไม่ต้องไปรอรับ มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ตลอดจนการใช้ AI เข้ามาช่วยให้การทำงานมีสิทธิภาพมากขึ้น
            4.2.2 สร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานกลางของศูนย์ข้อมูลภาครัฐ ผ่านระบบเครือข่ายสารสนเทศเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและบูรณาการข้อมูลข้ามหน่วยงานผ่านระบบดิจิทัล ที่รองรับการทำงานและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลภาครัฐร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน

        4.3 ปลดล็อกเครื่องมือเพื่อประชาชน
         4.3.1 ปรับปรุงแก้ไขระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติใหม่ ให้สอดรับกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี สะดวกกับเจ้าหน้าที่ในการให้บริการและสะดวกกับประชาชนที่มารับบริการ ไม่ให้ยุ่งยากซับซ้อน
              4.3.2 แก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง ทบวง กรม ให้ทันสมัย และยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่กีดกัน จำกัดสิทธิของประชาชน และกระจายอำนาจให้กับจังหวัดและท้องถิ่น โดยไม่ต้องวิ่งมาที่ส่วนกลาง
           4.3.3 ทบทวนการใช้ KPI และเป้าหมาย ในการพัฒนาประเทศให้ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวง ทบวง กรม จังหวัด ส่วนงานระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น ให้มีทิศทางการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน จับต้องได้ ไม่ใช่มีแผนยุทธศาสตร์ไว้ประดับหรือสักแต่มีเท่านั้น แผนยุทธศาสตร์ทุกระดับต้องถูกนำมาขับเคลื่อนได้จริง เพื่อยกระดับประเทศรายได้ปานกลาง

        4.4 สร้างองค์กรแห่งความสุข เพิ่มศักยภาพ และประสิทธิภาพ
            4.4.1 ปรับปรุงแก้ไขระเบียบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการประชาชน กระจายอำนาจ ให้ชุมชนเป็นเจ้าของร่วมคิดร่วมตัดสินใจไม่ใช่คอยรับบริการจากภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติราชการ
      4.1.2 ปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาบุคลากรของรัฐ ให้สอดรับกับการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ ทันกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สรุปสั้นๆ ปฏิรูประบบราชการด้วยมาตรการ 4 ป.

ปรับลด : คน-งบ ; เลือกตั้งผู้ว่า/ เออร์ลี่รีไทร์ /ออกพรบ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
ปรับเพิ่ม : ประสิทธิภาพ ; จากรัฐบาลอิเลกทรอนิก สู่รัฐบาลดิจิทัล มีบิ๊กดาต้าและเอไอ เป็นตัวขับเคลื่อน
ปลดล็อก ; เครื่องมือเพื่อประชาชนให้ทันสมัย ; กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ปลดปล่อย ; ศักยภาพบุคคลและองค์กร ; ระเบียบราชการ และแผนพัฒนาบุคคลกรหน่วยงานรัฐ
................................................................................................................
[1] การปฏิรูประบบราชการ : ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังเข้าคลอง, ดร. อลงกต วรกี, สถาบันพระปกเกล้า, 2546
https://kpi-lib.com/multim/Journal%20Index/%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%881%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882/b5800.pdf

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สมเกียรติ มีธรรม ฯ ป่าไม้ ที่ดินทำกินและเศรษฐกิจชุมชน ความยั่งยืนของการจัดการไฟป่า

ข้อเสนอสีเขียว : แม่วากโมเดล รูปธรรมบูรณาการจัดการดินน้ำป่า สู่การแก้ปัญหาเชิงนโยบาย ภายใต้แม่แจ่มโมเดลและแม่แจ่มโมเดลพลัส