ปฏิรูปคณะสงฆ์ไทยสู่เป้าหมายศาสนทายาท
ผลสำรวจจากนิด้าโพลช่วงวันที่ 14 - 16 กรกฎาคม 2568 ถาม“ความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน” มี 16 คำตอบ พอจำแนกออกมาได้ 3 ประเด็นใหญ่ๆ ด้วยกันคือ พระสงฆ์ การบริหารปกครองคณะสงฆ์ และสังคม
ทั้ง 3 ประเด็นนี้ มีประชาชนตอบปัญหาพระสงฆ์มากสุด เช่น พระสงฆ์ตัดขาดทางโลกไม่ได้ทำให้มีข่าวฉาว เช่น เสพยาบ้า ดื่มสุรา เล่นการพนัน มั่วสีกา หลงใหลในลาภยศสรรเสริญและตำแหน่ง หลงในวัตถุนิยมบริโภคนิยม ใช้ผ้าเหลืองเป็นช่องทางสร้างรายได้ ไม่อยู่ในหลักธรรมวิจัย ก้าวร้าว หลงตัวเอง ชอบโฆษณาอภินิหารเกินจริง บิดเบือนคำสอน เน้นพิธีกรรมไสยศาสตร์ ชอบยุ่งการเมืองและเลือกข้าง
ในด้านการบริหารปกครองคณะสงฆ์ ประชาชนตอบว่า วัดบางแห่งมีการบริหารจัดการทรัพย์สินไม่โปร่งใส ความเป็นพุทธพาณิชย์ องค์กรที่ดูแลคณะสงฆ์อ่อนแอและขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกัน การปกครองในวัดไม่มีประสิทธิภาพ วัดบางแห่งโฆษณาชวนเชื่อให้คนทำบุญเกินตัวเกินเหตุจำเป็น
ขณะที่ประเด็นทางสังคม ประชาชาชนตอบว่า ญาติโยมและลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง ชอบชักนำให้พระสงฆ์ประพฤติหรือทำกิจกรรมผิดพระธรรมวินัย
ทั้ง 3 ประเด็นข้างต้น เป็นสาเหตุของปัญหาที่นำมาซี่งความเสื่อมศรัทธาต่อพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถ้าดูจากโพลในช่วงมีข่าวฉาวพระสงฆ์ที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่า ความศรัทธาของประชาชนต่อพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาลดลงไปมาก เสมือนกับเป็นสนิมกัดกินเนื้อในตนสะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงมีข่าวอื้อฉาวพระสงฆ์เท่านั้น ย้อนหลังไปไกลถึงการล่มสลายของพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาในอินเดียกันเลยว่าได้
การล่มสลายของมหาวิทยาลัยนาลันทามหาวิหาร มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรก ที่พระถังซัมจั๋งเดินทางจากประเทศจีนไปศึกษาที่อินเดีย ก็มาจากสนิมกัดกินเนื้อในตน เมื่อพระสงฆ์ห่างเหินจากชาวบ้าน พากันกระจุกตัวอยู่ในที่เดียวกัน สนใจปริยัติศึกษาเชิงอภิปรัชญามากกว่าปฏิบัติศึกษา จนเกิดลัทธิใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพิธีกรรมซับซ้อน ลุ่มหลงในเวทมนตร์คาถา พระกลายเป็นพราหมณ์ รัฐก็เข้ามาให้การสนับสนุน เมื่อกองทัพมุสลิมบุกทำลาย พระพุทธศาสนาจึงอันตธานไปจากอินเดียตราบจนวันนี้ เพราะสนิมที่กัดกินเนื้อในตน
มาในยุคปัจจุบัน พระสงฆ์และพระพุทธศาสนาเผชิญกับความท้าทาย ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงรอบด้านมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกมากมาย อยากรู้อะไรก็ถามAI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพระสงฆ์ ฯ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ที่ทุกคนคิดถึงปากท้องก่อนอื่นใด การเปลี่ยนแปลงสังคมที่โครงสร้างประชากรมีผู้สูงอายุมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาประชาชน ฯ เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบกับประชาชนโดยตรง
วันนี้แม้เราไม่ฆ่าสัตว์แต่ก็มีองค์กรภาครัฐและเอกชนฆ่าให้กินกันทุกวัน เกษตรกรเป็นเจ้าของผลผลิตแต่ไม่มีสิทธิ์กำหนดราคาขายเองได้ ธนาคารนำเงินเราไปค่ากำไรทั้งๆที่ไม่ได้อนุญาต ทุกไตรมาสกำไรเป็นหมื่นๆล้าน แต่ให้ดอยเบี้ยเงินฝากไม่กี่สตางค์ รัฐบาลเก็บค่าไฟฟ้าจากประชาชนไปจ่ายให้เอกชนโดยที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าที่สร้างสำรองไว้ รวมถึงคำถามของคนรุ่นใหม่ ฯ ในประเด็นต่างๆเหล่านี้ พระสงฆ์และพระพุทธศาสนาจะอธิบายอย่างไร ให้เห็นการ“ลักทรัพย์”ในเชิงโครงสร้างในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยได้อย่างไร พระสงฆ์จะตอบอย่างไรที่คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามกับพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา
การเกิดขึ้นของพุทธแบบบริโภคนิยม เช่น สำนักธรรมกายที่เน้นเอาบุญเอานิพพานมาเป็นสินค้าขายให้กับผู้บริโภค การเกิดขึ้นของพุทธพาณิชย์ตามวัดต่างๆ การการเกิดขึ้นของพุทธชาตินิยมแบบสันติอโศก หนีโลกไปสร้างสังคมยูโทเปียขึ้นมาใหม่แยกออกไปจากสังคมไทย การเกิดขึ้นของสวนโมกขพลาราม ชี้ทางแห่งสติปัญญา กลับไปหาแก่นแท้พระพุทธศาสนาในสังคมสมัยใหม่ ฯ คือการปรับตัวของพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาในสังคมไทยที่เห็นได้ชัดในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา หรือย้อนกลับไปถึงสมัยรัชกาลที่ 5 การแยกคณะสงฆ์ออกเป็น 2 ฝ่าย คือธรรมยุต(พระบ้าน)กับมหานิกาย(พระป่า) ก็เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมสมัยนั้น รวมถึงการปกครองสงฆ์ด้วย
มาในพุทธศตวรรษที่ 26 พระสงฆ์และพุทธศาสนาเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่าเดิม เพิ่มเติมจาก วัฒนธรรมบริโภคนิยม ชาตินิยม ฯ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของยุคปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยากรู้อะไรก็ถามAI ได้คำตอบทันทีโดยไม่ต้องไปวิ่งหาพระสงฆ์ที่ไหน AI สืบค้นข้อมูล ประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ฯ รวดเร็วกว่ามนุษย์ด้วยช้ำ โดยเฉพาะประเด็นต่างๆในพระพุทธศาสนาไม่ต้องมีพระสงฆ์ก็ย่อมได้ ยิ่งมีข่าวฉาวพระสงฆ์มากเท่าไหร่ คนรุ่นใหม่ซึ่งห่างไกลพระพุทธศาสนาก็จะยิ่งห่างไกลออกไป ยิ่งพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ให้คำตอบในสิ่งที่ต้องการในชีวิตปัจจุบันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง รถ บ้าน หน้าที่การงาน ฯ พวกเขาและเธอก็ยิ่งหันหลังให้กับศาสนามากขึ้นตามลำดับ และกลับไปเชื่ออินฟลูเอ็นเซอร์ ที่ตอบโจทย์ชีวิตปัจจุบันมากกว่าพระสงฆ์เสียอีก ทั้งยังมีอินฟูลเอ็นเซอร์บางคนทำหน้าที่ได้ดีกว่าพระสงฆ์ด้วยซ้ำ
ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยดังได้กล่าวมานี้ คณะสงฆ์ไทยต้องสังคายนาใหม่ 2 ด้านใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
1. กระจายอำนาจการปกครองคณะสงฆ์
การจัดระเบียบปกครองคณะสงฆ์ไทยเริ่มในรัชกาลที่ 5 นอกจากคณะสงฆ์แยกออกเป็น 2 นิกายแล้ว ในรัชสมัยนี้ยังเอาสมณศักดิ์เข้ามาผนวกกับตำแหน่ง อำนาจ และผลประโยชน์ในโครงสร้างปกครองคณะสงฆ์ไทย ดังปรากฏในพรบ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 เพื่อที่จะรวบอำนาจการบริหารปกครองคณะสงฆ์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นการมีอยู่ของ "มหาเถรสมาคม" และเป็นจุดเริ่มต้นที่การปกครองคณะสงฆ์กับรัฐใกล้ชิดกันตราบจนวันนี้
พอในปีพ.ศ.2484 มีการประกาศใช้พรบ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ให้สมเด็จพระสังฆราชบริหารคณะสงฆ์ผ่านองค์กร 3 ฝ่าย ได้แก่ สังฆสภา สังฆมนตรี และคณะวินัยธร ซึ่งเปรียบเสมือนฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ
ทุกครั้งที่ออกกฎระเบียบ สังฆณัติ ประกาศ คำสั่ง ต่างๆ ก็ต้องผ่านสมาชิก“สังฆสภา” 45 รูป โดยมีประธานสังฆสภาที่แต่งตั้งโดยสมเด็จสังฆราชเป็นประธานในที่ประชุมพิจารณาก่อนประกาศใช้ แต่ถ้ากิจการใดที่อยู่ในขอบเขตของสังฆสภา ก็จะมี“คณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญ”ขึ้นมาพิจารณาสอบสวน
ในด้าน“สังฆมนตรี”ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร สมเด็จพระสงฆราชเป็นผู้แต่งตั้ง แต่ลงนามรับสนองโดยรมต.กระทรวงศึกษาธิการ มีทั้งหมด 9 รูป ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ทำหน้าที่บริหารองค์กรคณะสงฆ์ส่วนกลาง 4 องค์การได้แก่ องค์การปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแพร่ และองค์การสาธารณูปการ
ในแต่ละองค์การก็จะมีสังฆนายกเป็นหัวหน้าบริหารการคณะสงฆ์ ส่วนภูมิภาคก็มีเจ้าคณะตรวจการมีอำนาจหน้าที่ควบคุม สั่งการ และชี้แนะ ถ้ามีพระสงฆ์รูปหนึ่งรูปใดประพฤติผิดพระธรรมวินัย หรือผิดข้อบังคับ สังฆณัติ กฎระเบียบ ประกาศ และคำสั่ง “คณะวินัยธร” ซึ่งมีความเป็นอิสระในการพิจารณาวินิจฉัยให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและสังฆณัติ
เรียกว่าทั้ง 3 อำนาจ ได้แก่อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ แยกออกจากกันชัดเจน ไม่ก้าวก่ายกัน มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งถูกฉีกทิ้งโดยเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้แก้ไขโครงสร้างคณะสงฆ์ใหม่ ยุบสังฆสภา สังฆมนตรี และคณะวินัยธร เหลือเพียงองค์กรเดียวคือ “มหาเถรสมาคม” ที่มีคณะกรรมการฯ 20 ท่าน ดำรงตำแหน่ง 2 ปี แล้วเวียนเก้าอี้กันนั่งบริหารปกครองคณะสงฆ์ไทย อะไรต่อมิอะไรก็ออกมาจากมหาเถรสมาคมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการปกครองและการบริหารกิจการคณะสงฆ์ โดยมีสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาธิการ
ในด้านการปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งตามเขตปกครอง ภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล ให้มีพระสงฆ์ปกครองตามลำดับขั้นสมณศักดิ์ มีอำนาจให้คุณให้โทษพระสงฆ์ใต้บังคับบัญชาได้ ถ้าในชั้นสมเด็จและเจ้าคณะภาค ก็ขึ้นอยู่กับกรรมการเถรสมาคม ที่นั่งโต๊ะกลมๆเจอหน้ากันในวันประชุมทุกครั้ง จะหวังให้“แมลงวันมาตอมแมลงวัน”ได้อย่างไรกัน
ในหนังสือ“พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต” โดยพระไพศาล วิสาโล เสนอทางออกจากวิกฤติไว้น่าสนใจเมื่อปีพ.ศ.2546 ให้“กระจายอำนาจ”การบริหารคณะสงฆ์ไทย ทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง มีโครงสร้างคล้ายๆกับพรบ.คณะสงฆ์ 2484 ให้มีส่วนกลาง ภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เช่นกัน
ที่แตกต่างออกไปก็เห็นจะเป็นคณะกรรมการ ที่ต้องมาจากการคัดเลือกเป็น“สังฆสภา”ทุกระดับ นับตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงส่วนกลาง ที่เรียกว่า“มหาสังฆสภา” มีอำนาจหน้าที่เหมือนฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนฝ่ายบริหาร ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงฆ์ตำบล อำเภอ จังหวัด และคณะกรรมการ“สังฆมนตรี”ที่มาจากการเลือกสรร เห็นชอบ จากสังฆสภาแต่ละดับอีกที และให้มีคณะวินัยธรหรือศาลสงฆ์แต่ละระดับขั้น ทำหน้าที่เป็นฝ่ายตุลาการ พิจารณานิคหกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์แต่ละท้องที่
ถ้าปรับโครงสร้างบริหารคณะสงฆ์ใหม่ในลักษณะนี้ คงจะคลี่คล้ายปัญหาต่างๆได้ดีกว่าการรวมศูนย์อำนาจที่คนๆเดียว มือไม้ก็ไม่มี ยากที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆได้
2. ปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์ให้เดินสู่เป้าหมาย
ในระบบการปกครองพื้นฐานทางพระธรรมวินัยแต่เดิม มีอุปัชฌาย์อาจารย์ทำหน้าที่ให้การศึกษาอบรมสั่งสอนแก่ลูกศิษย์ที่บวชใหม่ โดยให้ถือนิสัย 4 เป็นพระนวกะอยู่กับอุปัชฌาย์นานถึง 5 พรรษา เมื่อพ้นนิสัยมุตกะถึงจะอนุญาตออกไปปฏิบัติศาสนกิจได้ ระบบการศึกษาในวัดของไทยแต่โบราณก็เดินตามครรลองนี้ โดยมีพระอาจารย์เป็นเจ้าวัดให้การศึกษาและปกครองไปพร้อมๆกัน คุณค่าที่เกิดจากการเรียนรู้ระหว่างศิษย์กับอาจารย์แบบดั้งเดิม ได้สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์อย่างลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นเจ้าวัดกับลูกวัด ติดไปกับตัวจนกระทั่งว่าผู้นั้นสิกขาลาเพศไป
แตกต่างจากในปัจจุบัน เจ้าอาวาสมีฐานะเป็นผู้ปกครอง ไม่ได้ทำหน้าที่ให้การศึกษาอบรมสั่งสอน การศึกษากลายเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งแยกออกไปชัดเจน เป็นเรื่องของผู้ชำนาญพิเศษ ผู้มีหน้าที่ให้การศึกษาก็ให้การศึกษาไป ผู้ทำหน้าที่ปกครองก็ปกครองไป พระเณรอาศัยวัดเป็นเพียงที่พักเพื่อไปเรียนหนังสือที่อื่น พระลูกลูกวัดกับผู้ปกครอง(คือเจ้าอาวาส) มีฐานะและความสัมพันธ์แบบผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง เป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบาง ง่ายต่อการเกิดความรู้สึกแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เมื่อปกครองกันไม่ได้ ความประพฤติเสื่อมโทรมก็ปรากฏแพร่หลาย ดังเป็นข่าวให้เห็นมากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ
ยิ่งสภาพการศึกษาของพระพุทธศาสนาในชนบทด้วยแล้ว ยิ่งย่อหย่อนอ่อนแอและเสื่อมโทรมเป็นอันมาก ไม่ได้รับการเอาใจใส่จากอุปัชฌาย์อาจารย์เท่าที่ควร บวชเข้ามาแล้วก็สักแต่อยู่เฝ้าวัด ไม่ได้รับการศึกษาอบรมตามบทบัญญัติในพระธรรมวินัย วัดในชนบทจำนวนไม่น้อยจึงมีแต่พระที่บวชใหม่เข้ามาเป็นเจ้าอาวาส หรือไม่ก็มีหลวงตาเฝ้าวัดรูปสองรูป
ส่วนพระหนุ่มที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน เมื่อบวชมาอยู่เฉยๆ ไม่มีอุปัชฌาย์อาจารย์ให้การอบรมสั่งสอนก็ต้องคืนสิกขาลาเพศไป บางรายเข้ามาอาศัยวัดในเมืองเพื่อเล่าเรียนหนังสือในโรงเรียนปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาและแผนกบาลีศึกษา และไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง
ซึ่งปัจจุบันสถานศึกษา 2 แห่ง ทั้งมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยและมหามงกุฎราชวิทยาลัย ได้กลายเป็นทางผ่านของผู้ด้อยโอกาสในการศึกษา ด้วยเหตุนั้นมหาวิทยาลัยสงฆ์จึงเกิดมีลักษณะพิเศษ หรือรูปร่างหน้าตาอย่างหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจคือ ได้กลายเป็นสถาบันตัวแทนที่ฉายให้เห็นภาวะสังคมอันเนื่องด้วยการศึกษาของคณะสงฆ์และประเทศชาติ
กล่าวคือ สภาพที่วัดได้กลายเป็นช่องทางของผู้ด้อยโอกาส สำหรับเข้ามารับการศึกษาและเลื่อนฐานะในสังคม สภาวะเช่นนี้ทำให้มหาวิทยาลัยสงฆ์เสมือนมีบทบาทในปัจจุบันแยกออกไปเป็น 2 ประการคือ เป็นสถาบันที่อำนวยศาสนศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร และเป็นสถาบันที่อำนวยโอกาสทางการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม มากกว่าเป็นสถาบันฝึกอบรมศาสนทายาทเพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา หรือเป็นสถานศึกษาที่จะสร้างรากฐานทางด้านจริยธรรมแก่สังคมไทย
เมื่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ พระหนุ่มเณรน้อยเมื่อได้ปริญญาก็สิกขาลาเพศไป ส่วนพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ในเพศสมณะก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติศาสนกิจได้ เนื่องจากการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในสถานศึกษาของสงฆ์ มีขอบเขตคับแคบและจำกัดด้านเดียว เช่น การสอนภาษาบาลีก็เรียนกันแต่ภาษาบาลีอย่างเดียว ทั้งๆที่ภาษาบาลีสามารถเรียนในคัมภีร์ที่ว่าด้วยธรรมวินัย แต่เวลาเรียนและสอนกันจริงๆ ไม่ได้สนใจเนื้อหาที่เป็นตัวธรรมวินัย มุ่งเอาแต่ภาษาให้แปลออกมาได้และไม่ได้ฝึกให้รู้จักค้นคว้า
ฉะนั้น ผู้สำเร็จการศึกษาจึงมีความรู้ความเข้าใจคับแคบ อยู่ในวงของภาษาบาลีในคัมภีร์อย่างเดียว เมื่อมีความเข้าใจคับแคบ แม้จะมีความรู้สูงในภาษา แต่เมื่อไปปฏิบัติหน้าที่ทางพระศาสนาและะทางสังคม ก็ถูกขอบเขตและขีดจำกัดทางการศึกษาของตนเองบีบรัดเอาไว้ ทำให้ทำงานไม่ได้ผลดี ไม่ทันต่อสถานการณ์บ้านเมือง มหาวิทยาลัยสงฆ์ปัจจุบันจึงอยู่ในฐานะผู้ตามสังคมมากกว่าผู้นำ ยิ่งเดินตามมหาวิทยาลัยทางโลกเท่าใด โอกาสที่จะเป็นเลิศทางวิชาการยิ่งห่างไกล
ในด้านโรงเรียนปริยัติธรรมศึกษาทั้งแผนกบาลีและแผนกสามัญ ก็มีคุณค่าความหมายและความสำคัญต่อสังคมและชีวิตของคนสมัยปัจจุบันน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีคุณค่าความหมายใดๆเอาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากการศึกษาพระปริยัติธรรม ไม่เพียงพอที่จะสร้างพระภิกษุสามเณรให้เป็นศาสนทายาทที่ดี โดยเฉพาะความสามารถที่จะปฏิบัติศาสนกิจให้ได้ผลในสังคมปัจจุบัน เช่น การเผยแผ่สั่งสอนธรรมแก่คนรุ่นใหม่ หรือทำให้พระภิกษุสามเณรที่กำลังเล่าเรียนมีความประพฤติและกิริยามารยาทเหมาะสมกับสมณเพศ
เมื่อไม่สามารถสร้างศาสนทายาทที่ดีได้ จึงทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา หันเหไปในทางที่ไม่สู้จะเกื้อกูลแก่ศาสนกิจด้านการศึกษามากนัก กอปรกับสังคมส่วนใหญ่สนใจและแสดงความต้องการต่อพระศาสนาเพียงขั้นศาสนวัตถุและศาสนพิธี โดยที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็โน้มเอียงไปในทางเดียวกัน ทำให้ความเข้าใจในความหมายของการดำรงศาสนาและรักษาวัดจำกัดแคบเหลือเพียงการดำรงรักษาเสนาสนะ และบูรณปฏิสังขรณ์สิ่งก่อสร้างต่างๆ เท่านั้น เมื่อความเข้าใจและความสนใจหันเหออกไป การแสวงหาทุนและการใช้ทุนก็หักเหออกไปด้วย ทุนส่วนใหญ่ของวัดจึงถูกใช้ไปในงานก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์เสียเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนั้น การศึกษาของคณะสงฆ์ยังขาดความเป็นเอกภาพ ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีระบบซ้อนระบบ และหลายระบบซ้อนๆ กัน ยิ่งกว่านั้นแต่ละระบบก็ไม่อิงอาศัย ไม่เกื้อกูลกัน ไม่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ต่างคนต่างทำกันไปคนละทิศคนละทาง บางทีก็ขัดแย้งกัน เช่น ในมหาวิทยาลัยสงฆ์มีระบบการศึกษาแผนเดิมคือ พระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลี กว้างออกไปก็มีระบบการศึกษาผู้ใหญ่สำหรับพระภิกษุสามเณร โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาแยกต่างออกไป ไม่ขึ้นกับคณะสงฆ์หรือกรมการศาสนาหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นักธรรมบาลีสังกัดคณะสงฆ์ โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาผู้ใหญ่สำหรับพระภิกษุสามเณรไปสังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ก็ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างนี้เป็นต้น
ความไม่เป็นเอกภาพดังที่กล่าวมานี้ เป็นอุปสรรคต่อการกำหนดทิศทางการศึกษาของคณะสงฆ์ และการบริหารจัดการการศึกษาของคณะสงฆ์มาก แม้ที่ผ่านมาทางฝ่ายบ้านเมืองพยายามปฏิรูปการศึกษาแม้จะไม่สำเร็จก็ตาม แต่การศึกษาคณะสงฆ์กลับนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน สภาพการณ์เช่นนี้ ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญที่จำต้องมีการปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ขนานใหญ่ตามความมุ่งหมายของการศึกษาสงฆ์ กล่าวคือ เพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ และมีประสิทธิภาพในการที่จะช่วยเสริมสร้างชีวิตที่ดีงามสงบสุขของมนุษยชาติ
ประโยชน์ตนก็ให้เจริญงอกงามด้วยปัญญาและคุณธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในด้านความดีงามและความสงบสุข เป็นหลักยึดเหนี่ยวทางศีลธรรมและเป็นที่พึ่งทางจิตใจ สามารถพึ่งตนเองได้ และให้มีบุคลิกที่พร้อมจะเป็นผู้นำที่ดีของชุมชน จนสามารถเป็นสื่อนำให้ประชาชนเลื่อมใสมั่นใจในคุณค่าแห่งธรรม
ประโยชน์ผู้อื่นหรือสังคมก็เจริญงอกงามด้วยกรุณา ดำเนินชีวิตและบำเพ็ญกิจให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน ถ้าการศึกษาคณะสงฆ์สามารถจัดการศึกษาให้บรรลุความมุ่งหมายได้ดังนี้ พระสงฆ์และพระพุทธศาสนาก็จะกลับมาเป็นที่เลื่อมใสต่อไป

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น