ปฏิรูปผังเมืองไม่ให้ฝังเมือง



อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอำเภอที่มีเนื้อที่มากเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย ในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2555 พบว่าราว 99.9% เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ (สีเขียวอ่อนมีเส้นทแยงสีขาว) มีพื้นที่สีชมพู ซึ่งเป็นที่ดินประเภทชุมชนราว 1.5 ตารางกิโลเมตร เฉพาะเขตเทศบาลเท่านั้น

ขณะที่การใช้ที่ดินอำเภอแม่แจ่ม ในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ที่ปรากฏในผังเมืองรวมเชียงใหม่ เปลี่ยนไป เป็นเนื้อที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม 382,553 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 22.20 เป็นที่ดินชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง 13,778 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.80 เป็นแหล่งน้ำ 3,621 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.21 เป็นที่ดินเบ็ดเตล็ด 11,151 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.65 ที่เหลือเป็นพื้นที่ป่า 1,312,116 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 76.14 นี้ยังไม่รวมเนื้อที่ที่มีประโยชน์หรือคุณค่าในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี และเนื้อที่ที่มีประโยชน์และคุณค่าทางเศรษฐกิจ

จังหวัดเชียงใหม่ทั้งจังหวัดก็เช่นกัน มีที่ดินตามกฎกระทรวงฯผังเมืองเชียงใหม่ 5 ประเภท ได้แก่ ที่ดินประเภทชุมชน(สีชมพู) ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม(สีเขียว) ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม(สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) และที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม(สีฟ้า)ซึ่งมีน้อยมากๆ ที่เหลือราว 90% ของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ (สีเขียวอ่อนมีเส้นทแยงสีขาว) ทั้งๆที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปแล้ว

จากข้อมูลสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ พค.2567 พบว่า จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ป่าไม้ 9,614,645 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 68.57 พื้นที่การเกษตร 3,449,428 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 24.60 และพื้นที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ 958,473 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 6.83 แต่ผังเมืองเชียงใหม่ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2555 ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขในทุกๆ 5 ปี ตามที่พรบ.การผังเมืองฯ ม.10 กำหนดไว้ เนื้อที่ดินเกษตรกรรม ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงเนื้อที่ที่มีประโยชน์หรือคุณค่าในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี ก็ยังอยู่ในเนื้อที่อนุรักษ์ป่าไม้กระทั่งทุกวันนี้

ขณะที่จังหวัดอื่นๆ ก็เช่นกัน สีเขียวอ่อนมีแส้นแยงสีขาว ซึ่งเป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ในแต่ละจังหวัดมีมากกว่า 50 - 80% บางจังหวัดมีที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม(สีเขียว)มากถึง 50% แต่มีที่ดินประเภทชุมชน(สีชมพู)นิดเดียว เช่น จังหวัดกำแพงเพชร กระบี่ ขอนแก่น อุบลราชธานี ฯ อย่างนี้เป็นต้น

ในระดับภูมิภาคและประเทศก็เฉกเช่นเดียวกัน ประเทศไทยมีพื้นที่ไม่ใช่ป่ามากกว่าเนื้อที่ป่ามากถึง 79.43% หรือ 221,392,724.69 ไร่ จาก 323,528,699.66 ไร่ ที่เหลือเป็นเนื้อที่ป่า 102,135,974.97 ไร่ คิดเป็น 31.57% (ข้อมูลปี 65) เท่านั้น โดยแบ่งเป็นพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง 18,744,002 ไร่ คิดเป็น 5.84% เนื้อที่เกษตรกรรม 178,737,676 ไร่ นอกนั้นเป็นเนื้อที่น้ำ เนื้อที่เบ็ดเตล็ดอื่น

ในเนื้อที่เหล่านี้ ยังมีเนื้อที่ที่มีประโยชน์หรือคุณค่าในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี เพื่อคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ที่สำคัญของประเทศรวมอยู่ด้วย ยังไม่ได้จำแนกออกมาชัดเจน และทั่วถึง ครอบคลุมระดับอำเภอด้วยซ้ำ ยิ่งที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ผังเมืองรวมในทุกจังหวัดก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ มีเนื้อที่ดินเกษตรกรรม ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงเนื้อที่ที่มีประโยชน์หรือคุณค่าในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี ก็ยังอยู่ในเนื้อที่อนุรักษ์ป่าไม้กระทั่งทุกวันนี้ ทำให้ไม่สามารถที่จะก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเมืองได้ มีโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเมืองเมื่อไหร่คอยแก้ไขกันที

ดังกรณีเกิดขึ้นที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ในปีพ.ศ.2562 กรมทางหลวงได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ซ่องจราจรทางเลี่ยงเมือง อ.จอมทอง เป็นเงิน 17.05 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาศึกษา 1 ปี โครงการศึกษาฯเสร็จสิ้นในปีพ.ศ.2563 แต่ก็ยังก่อสร้างไม่ได้ เนื่องจากไปติดปัญหาผังเมืองรวมเชียงใหม่ ที่ถนนตัดผ่านไปเป็นเนื้อที่อนุรักษ์ป่าไม้ แต่ในพื้นที่จริงปัจจุบันเป็นทุ่งนาและชุมชนหนาแน่น จึงต้องปรับปรุงแก้ไข กว่าจะประกาศผังเมืองได้ก็ยืดไปอีก 1 ปี สุดท้ายก็ไม่ได้ก่อสร้างจนกระทั่งทุกวันนี้ และยังมีอีกหลายพื้นที่หลายโครงการ ที่ประสบปัญหาการผังเมืองที่ไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขตามที่กฎหมายกำหนด

จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย (2557) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (2558) 10 กว่าที่แล้วรายงานว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกและประเทศไทยในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อการวางผังเมืองมากขึ้น ทั้งในด้านการวางผังเพื่อรองรับและควบคุมการขยายตัวของเมือง การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเมืองให้เจริญก้าวหน้า การรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่า ส่งเสริมการดำรงรักษาหรือบูรณะสถานที่และวัตถุ ที่มีประโยชน์หรือคุณค่าในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี เพื่อคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ที่สำคัญของประเทศ การรองรับและป้องกันผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติ การรองรับสังคมผู้สูงอายุ และส่งเสริมความเท่าเทียมของผู้พิการ และการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

โดยปัญหาสำคัญด้านการผังเมืองก็คือ ขั้นตอนการจัดทำผังเมืองที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน และต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการแต่ละขั้นตอนค่อนข้างมาก ทำให้ผังที่ประกาศใช้มีความล้าสมัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองอย่างเคร่งครัด จนก่อให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมืองในพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างไร้ทิศทาง ทำให้การควบคุมการใช้พื้นที่ของประเทศยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ผังเมืองแต่ละพื้นที่ไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ขาดการนำผังลุ่มน้ำมาใช้ประกอบในการวางผังเมืองในแต่ละพื้นที่

แม้ผังนโยบายระดับประเทศที่เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นมา พอที่จะมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังขาดแผนและแผนผังพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานตามแผนและแผนผังที่ชัดเจน ซ้ำร้ายไปมุ่งตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในด้านการพัฒนาพื้นที่พิเศษมากกว่าการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท

ด้วยเหตุดังนั้น จึงจำต้องมีการปฏิรูปผังเมืองรวมใหม่ ไม่ให้ชุมชนและเมืองถูกฝังไปกับกาลเวลา โดย ;

1. กระจายอำนาจ งบ งาน และคน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในข้อนี้แม้จะระบุไว้ในพรบ.ผังเมือง 2562 ม.6 และ ม.23 “..ในการวางและจัดทำผังเมืองรวม ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของกรมโยธาธิการและผังเมือง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือกรมโยธาธิการและผังเมืองและองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นร่วมกันก็ได้..”

แต่ในทางปฏิบัติแทบไม่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดดำเนินการ เนื่องจากขาดอำนาจที่แท้จริง การตัดสินใจยังขึ้นอยู่คณะกรรมการผังเมืองจังหวัด กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นหลัก ทั้งยังขาดงบประมาณและกำลังคน การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและชุมชนตัดสินใจ กระจายงบประมาณ ก็จะทำให้การวางและจัดผังเมืองรวดเร็วขึ้น ทันต่อการเปลี่ยนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ฯ

2. กำหนดการวางและจัดทำผังเมืองเป็น KPI (ตัวชี้วัด) ของท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นเข้ามาวางและจัดทำผังเมืองระดับเมืองและระดับชนบทตามกรอบระยะเวลากำหนด เพื่อให้การวางและจัดทำผังเมืองรวมเป็นภารกิจหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

3. ลดขั้นตอนการวางและจัดทำผังเมืองที่ซับซ้อนลง การสำรวจกำหนดเขตผัง วิเคราะห์ และจัดทำร่างผังเมืองรวม ไม่จำเป็นต้องให้รัฐมนตรีมาชี้ขาด และไม่ต้องถึงกรมโยธาธิการและผังเมืองส่วนกลาง ให้จบที่คณะกรรมการผังเมืองจังหวัดก็พอ กรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นเพียงไม้ต่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็พอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สมเกียรติ มีธรรม ฯ ป่าไม้ ที่ดินทำกินและเศรษฐกิจชุมชน ความยั่งยืนของการจัดการไฟป่า

ปฏิรูประบบราชการให้จิ๋วแต่แจ๋ว

ข้อเสนอสีเขียว : แม่วากโมเดล รูปธรรมบูรณาการจัดการดินน้ำป่า สู่การแก้ปัญหาเชิงนโยบาย ภายใต้แม่แจ่มโมเดลและแม่แจ่มโมเดลพลัส