ปฏิรูปจัดการภัยพิบัติให้ฉับไว
ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมดินถล่ม ฝุ่นควันไฟป่า หรือว่าภัยอื่นๆ ขึ้นมา ผู้ที่ได้รับผลกระทบก่อนใครก็คือประชาชนในพื้นที่ แต่ประเทศนี้ไม่เคยที่จะให้ประชาชนในพื้นที่หรือชุมชน-ท้องถิ่นเข้มแข็ง จัดการภัยพิบัติด้วยตนเองได้เลย ต้องงอมืองอเท้าเข้าไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดเวลา แม้ว่าจะอยู่ในนาทีชีวิตก็ตาม
1.กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการภัยพิบัติ
การผูกขาดจัดการภัยพิบัติไว้กับภาครัฐแห่งเดียวนั้น หากรัฐมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยที่ดี มีระบบเตือนภัยในทุกพื้นที่ แจ้งถึงมือประชาชนได้ทันท่วงที มีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่มีทักษะความรู้ เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือ มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม มีความฉับไวในการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย และมีการฟื้นฟูอย่างฉับไว ก็คงไม่มีใครว่ากระมั๊ง..?
หากแต่ที่ผ่านมารัฐเองผู้ขาดการจัดการภัยพิบัติ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “รวมศูนย์อำนาจจัดการภัยพิบัติ”ไว้กับภาครัฐเป็นหลัก ดังจะเห็นได้จากพรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือประสบภัยพิบัติโดยตรงไม่เคยมีโอกาสจัดการตนเองแม้แต่น้อย
แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ล้วนถูกกำหนดมาจากบนลงล่าง คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในทุกระดับ มีแต่คนของมหาดไทยนั่งหัวโต๊ะบัญชาการ นับตั้งแต่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า“กปภ.ช.” ลงมาถึงระดับจังหวัดและระดับอำเภอ ก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอนั่งหัวโต๊ะสั่งการ ให้ท้องถิ่นเข้าไปทำหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแทน ทั้งเตือนภัย ช่วยเหลือขณะเกิดเหตุ รวบรวมข้อมูล ฟื้นฟู และช่วยเหลือบรรเทาความเสียหายให้กับประชาชน
กรณีน้ำท่วมเขตเทศบาลอำเภอแม่แจ่ม และเหตุการณ์ดินถล่มที่บ้านปางอุ๋ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ วันที่ 27 ส.ค.2568 มีผู้เสียชีวิต 5 ราย สูญหาย 2 ราย บาดเจ็บ 15 ราย บ้านเรือนพังเสียหายทั้งหลัง 32 หลัง เสียหายบางส่วน 45 หลัง รถยนต์ 15 คน และจักรยานยนต์ 32 คัน คือตัวอย่างหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดบทบาทของท้องถิ่น ที่เข้าไปช่วยเก็บเข้าของเครื่องใช้ต่างๆไว้บนที่สูง อำนวยความสะดวกและจัดระเบียบในการรับบริจาคสิ่งของ เก็บข้อมูลความเสียหายจากภัยพิบัติ ฟื้นฟูพื้นที่เสียหาย แจ้งเตือนประชาชนผ่านทางเว็บไซต์ของท้องถิ่น ฯ
การยกระดับท้องถิ่นให้รับมือกับภัยพิบัติได้ ด้วยการกระจายอำนาจ งบประมาณ คน และงาน จึงเป็นหนทางในการจัดการภัยพิบัติที่ไปพ้นการรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลาง เนื่องจากท้องถิ่นซึ่งกระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศไทยมากถึง 7,850 แห่ง เป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด
ถ้าท้องถิ่นมีอำนาจ มีงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มีงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพบุคคลากรอาสาสมัครซึ่งเป็นคนในพื้นที่ รู้จุดเกิดเหตุดีที่สุด และมีงบประมาณพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีจัดการภัยพิบัติที่ทันสมัย การป้องกัน การเตือนภัย ช่วยเหลือ และฟื้นฟู ก็จะฉับไวและมีประสิทธิภาพ ในการจัดการภัยพิบัติในเขตพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ถ้า
1.1 กระจายอำนาจประกาศเขตภัยพิบัติให้กับท้องถิ่น เนื่องจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแตกต่างไปจากแต่ก่อน เกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือลุ่มน้ำสาขา ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายที่หลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นกรณีน้ำท่วมพื้นที่เขตเทศบาลอำเภอแม่แจ่ม และดินถล่มบ้านปางอุ๋ง ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่(27-29 ส.ค.68) กรณีน้ำป่าไหลหลากที่บ้านผาบ่อง จ.แม่ฮ่องสอน กรณีน้ำป่าไหลหลากดินถล่มที่บ้านหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย (23 ก.ย.68) หรือย้อนกลับไปในวันที่ 13 เม.ย.68 บ้านห้วยฮ่อมนอก อ.แม่ทา จ.ลำพูน เป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่ ไม่ครอบคลุมอำเภอ จังหวัด และภาค อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ทำให้ฝนตกหนักเป็นหย่อมๆ กระจัดกระจายไม่ทั่วฟ้า
ในภาวะแบบนี้ กฎหมายและระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้อให้ ต้องแก้ไขให้ท้องถิ่นประกาศเขตภัยพิบัติในเขตปกครองของตนได้ โดยไม่ต้องไปรอผู้ว่าราชการจังหวัด
1.2 กระจายงบประมาณ ในระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินหรือไม่ก็ตาม สามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในเบื้องต้นโดยฉับพลันทันที
ถ้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีงบประมาณจะช่วยประชาชนได้อย่างไร โดยเฉพาะในด้านการเยียวยาฟื้นฟูหลังเกิดสาธารณภัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในวันนี้ เฉพาะงบประมาณที่จะพัฒนาหมู่บ้านก็ยังแทบไม่มี ถ้าไม่กระจายงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่านี้ ก็ยากที่จะช่วยเหลือประชาชนได้
2.สร้างกลไกชุมชน และเครือข่าย รับมือภัยพิบัติ
ถึงกระนั้น แม้กระจายอำนาจ งบประมาณ คน และงานให้กับท้องถิ่นไป การจัดการภัยพิบัติก็ยังไม่พออยู่ดี เพราะชุมชนผู้ประสบภัยในพื้นที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบก่อนใครๆ การเตรียมชุมชนหรือให้ชุมชนจัดการภัยพิบัติเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง ในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ก่อนที่หน่วยงานภายนอกจะเข้าไปถึงในพื้นที่ จะช่วยป้องกันและลดความสูญเสียได้ดียิ่งกว่า
โดยเฉพาะชุมชนพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลันดินถล่ม ชุมชนจำต้องมี “คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหมู่บ้าน” ที่คอยติดตามข้อมูลดินน้ำฟ้าอากาศ วิเคราะห์ แจ้งเตือน และช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยตนเองได้ จะช่วยแบ่งเบาบรรเทาหน่วยงานต่างๆก่อนเดินทางไปถึงพื้นที่ประสบภัย และที่สำคัญกลไกระดับชุมชนหมู่บ้านจะเป็นแรงสำคัญหรือเป็นกำลังเสริมให้กับเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
ตัวอย่างการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ.2559 การบูรณาการองค์กรภาครัฐ ชุมชน ท้องถิ่น ประชาสังคม และเอกชน ทั้งในและนอกอำเภอแม่แจ่ม ร่วมกันจัดทำแผนบริหารจัดการไฟป่า ให้ชุมชนหมู่บ้านเข้ามามีส่วนร่วม โดยตั้ง“ชุดปฏิบัติการดับไฟป่าหมู่บ้าน”พร้อมกับงบประมาณสนับสนุนหมู่บ้าน 3,000 บาท และเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็น เช่น วิทยุสื่อสาร เครื่องเป่าลม ฯ สนับสนุนภารกิจดับไฟป่า ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์ เฝ้าระวังไฟป่า ลาดตระเวร ทำแนวกันไฟ ดับไฟป่า และประสานขอกำลังหนุนเสริมจากหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ปรากฏว่าในปีดังกล่าวสามารถลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ได้มากถึง 90% เป็นอำเภอเดียวที่ได้รับรางวัลการจัดการไฟป่าที่ดีจากผู้ราชการจังหวัดเชียงใหม่ในปีนั้นโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยาน
หรือเหตุการณ์น้ำท่วมอำเภอแม่แจ่มและดินถล่มที่บ้านปางอุ๋ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ก็เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้นำชุมชนมีบทบาทสำคัญในการส่งข่าวสาร แจ้งเตือน ประสานงานขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงช่วยค้นหาผู้สูญหาย ถ้ายกระดับศักยภาพชุมชนขึ้นได้ก็จะทำให้ชุมชนเข้มแข็งตามไปด้วย และช่วยสร้างเครือข่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัย ทั้งในพื้นที่สูงและชุมชนที่อยู่ในที่ลุ่มต่ำตามเส้นทางน้ำ ทำแผนที่เสี่ยงภัยชุมชน ส่งเสริมสนับสนุนแลกเปลี่ยนส่งข่าวข้อมูลถึงกันและกันในพื้นที่ ขอแรงสนับสนุนเมื่อมีภัย ก็จะช่วยลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินผู้ประสบภัยได้มาก โดยไม่จำกัดเฉพาะภัยพิบัติน้ำท่วมดินถล่มเท่านั้น หมายรวมถึงการจัดการไฟป่าและอุบัติภัยอื่นๆอีกด้วย
3.บูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี และองค์กร
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Rain Bomb หรือที่เรียกว่า “ระเบิดฝน” ทำให้ฝนตกหนักเป็นแห่งๆ ฉับพลัน มีปริมาณน้ำฝนมาก และเอ่อท่วมเฉพาะที่เฉพาะแห่ง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และมีสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน้ำ พอเกิดปรากฏการณ์ Rain Bomb จึงยากจะรับมือได้ทันท่วงที ยิ่งไม่มีระบบเตือนภัยแจ้งประชาชนในพื้นที่โดยตรง ก็คงรับมือได้ยาก เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นที่อ.แม่อาย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่,เชียงราย,น่าน, พะเยา และลำปาง ชาวบ้านที่ประสบภัยหลายพื้นที่ต่างพูดเป็นเสียเดียวกันว่า ไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากทางการ ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น ส่วนที่ได้รับการแจ้งเตือนอยู่บ้าง ก็ล่าช้าและไม่ชัดเจนว่ามีความรุนแรงขนานไหน ให้อพยพไปที่แห่งใด
การรับมือกับ Rain Bomb เฉพาะที่เฉพาะแห่งได้ทันท่วงที จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทั้งข้อมูลปริมาณน้ำฝน และข้อมูลระดับน้ำ(ม.ทรก.)
จากข้อมูล Thaiwater (คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ) พบว่า ประเทศไทย มีสถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝนกระจายทั่วประเทศ 2,461 รายการ/สถานี ถ้าติดตั้งสถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝนแบบหยาบๆ ตำบลละ 1 สถานี ยังไม่ครอบคลุมพี้นที่ทุกตำบลในประเทศไทย (ซึ่งมี 7,255 ตำบล) คิดเป็น 47.95% เท่านั้น
โดยมากกระจุกตัวในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสานบางส่วน เฉพาะ 8 จังหวัดเหนือบน มีมากถึง 1,039 รายการ/สถานี มากกว่าตำบลที่มีอยู่ในแต่ละจังหวัดเสียอีก
แต่ทำไม...? ข้อมูลปริมาณน้ำฝนแบบเรียลไทม์ ไปกองอยู่กับหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำ ลงไม่ถึงชาวบ้านอย่างทันท่วงทีเมื่อมีฝนตกหนัก หรือ Rain Bomb เกิดขึ้น
เมื่อหันกลับมาดูสถานีวัดระดับน้ำทั้งประเทศ มีทั้งหมด 694 รายการ/สถานี ส่วนใหญ่กระจายอยู่ตามแม่น้ำหลักทั้ง 22 สาย/ลุ่มน้ำ และบางส่วนกระจายอยู่ตามลำนำสาขา แต่ก็ใช้ว่าจะทั่วถึงตลอดลำน้ำ
ถ้าหากเจาะเฉพาะภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีแม่น้ำสายหลัก 4 สาย/ลุ่มน้ำ แต่กลับมีสถานีวัดระดับน้ำเพียง 58 รายการ/สถานี เท่านั้น
อีกทั้งข้อมูลระดับน้ำแบบเรียลไทม์ กระจายกองอยู่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านทรัพยากรน้ำมากถึง 5 หน่วยงาน ได้แก่ thaiwatet-คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ, national thaiwater-สำนักจัดการทรัพยากรน้ำ, ศูนย์อุทกวิทยากรมชลประทาน, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และกรมอุตุนิยมวิทยา จนหาความเป็น Bigdata center ไม่ได้
เมื่อไม่มีระบบที่ส่งข้อมูลเตือนภัยถึงประชาชนได้ จึงทำให้ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยรับมือกับสถานการณ์น้ำป่าไหลหลากไม่ได้ ดังที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ที่ผ่านมา
ดังนั้น การจะรับมือกับ Rain Bomb ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ ;
3.1 ต้องมี bigdata center ที่มีหน่วยงานเดียวดูแล โดยข้อมูลดินน้ำฟ้าอากาศจากหน่วยงานระดับพื้นที่จะถูกส่งตรงเข้าส่วนกลางอัตโนมัติ ประมวลผลแบบเรียลไทม์ ส่งตรงให้กับประชาชนในพื้นที่รวดเร็ว ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีการเปิดใช้งานระบบ cell broadcast แต่ก็ยังล่าช้าและไม่ทั่วถึง อันเนื่องมาจากข้อมูลกระจัดกระจาย จึงทำให้การประมวลผล วิเคราะห์ ไม่ทันเหตุการณ์
3.2 สถานีวัดระดับน้ำ ต้องกระจายทั่วถึงตลอดเส้นทางน้ำในทุกๆ 30 - 50 กิโลเมตร โดยเฉพาะลำน้ำสาขา ซี่งเป็นที่มาของมวลน้ำ จะทำให้ประเมินความรุนแรงและการไหลของน้ำแต่ละช่วงได้ชัดเจน เช่น กรณีลำน้ำแม่แจ่ม ซึ่งมีความยาว 170 กิโลเมตร ปัจจุบันมีสถานีวัดระดับน้ำที่ส่งต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้เพียง 2 จุดคือ ต้นน้ำกับปลาย(อ.ฮอด ก่อนลงน้ำปิง) ส่วนระหว่างกลางไม่มี พอน้ำหลากมาที ไม่รู้ว่ามวลน้ำจะไหลมาถึงสถานีที่ 2 และ 3 เวลาเท่าไหร่ ทำให้รับมือกับน้ำหลากได้ยาก ลำน้ำสาขาอื่นก็เช่นเดียวกัน บางสาขามีเพียงจุดเดียว บางสาขาไม่มีด้วยซ้ำ
3.3 สถานีวัดปริมาณน้ำฝน ต้องครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ
3.4 สถานีวัดระดับน้ำและปริมาณฝน ต้องมีระบบส่งต่อข้อมูลอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นต้วชี้วัดสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก พื้นที่ไหนมีฝนตกมาก ต้องแจ้งให้กับประชาชนทราบอย่างทันท่วงที จะได้รับรู้ถึงอันตรายและเตรียมรับมือกับสถานการณ์ได้
4. สร้างแพลตฟอร์มบริหารจัดการภัยพิบัติ ระดับท้องถิ่น อำเภอ จังหวัด หรือสเกลเล็กลงมาระดับตำบลก็ย่อมได้ โดยแพลตฟอร์มนี้จะทำหน้าที่พยากรณ์หรือคาดการณ์น้ำท่วม จากฐานข้อมูลพื้นที่ที่ถูกจัดเก็บและจัดการอย่างเป็นระบบ มีระบบอัตโนมัตินำข้อมูลย้อนหลังและปัจจุบันมาทับซ้อนกันได้หลายชั้นข้อมูล ทำให้พยากรณ์น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ พร้อมกันนั้น แพลตฟอร์มบริหารจัดการภัยพิบัติก็จะเชื่อมโยงการรับ-ส่งข้อมูล รวบรวม วิเคราะห์ แจ้งเตือน และแสดงผล ส่งต่อข้อมูลไปยังพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกระบบปฏิบัติการ โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมให้ยุ่งยาก ทั้งยังสามารถแจ้งเตือนอัตโนมัติ ตามการตั้งค่าให้ท้องถิ่นสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อย่างรวดเร็ว ถึงจะรับมือกับภัยพิบัติในท่ามกลางเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศได้ ทั้งยังช่วยปิดช่องว่างที่เซลล์บอร์ดแคชเข้าไม่ถีงอีกด้วย

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น