ปฏิรูปจัดการน้ำรับมือโลกร้อน
1.ความคิดเปลี่ยน จัดการน้ำเปลี่ยน
มาถึงวันนี้วิธีคิดวิธีมองการจัดการน้ำต้องเปลี่ยน โดยบทเรียนอดีต(ที่กรมชลฯและรัฐบาลไม่เคยยอมรับความผิดพลาด) จากการเปลี่ยนแปลงสถาพภูมิอากาศของโลกที่ปรากฏชัดขึ้นทุกปี ก็ยังคิดเอาน้ำมาใช้โดยไม่ดูแลรักษาระบบนิเวศ
วิธีคิดจัดการน้ำมหาภาคที่เอาความต้องการใช้น้ำเป็นตัวตั้ง ดังเช่นที่ปรากฏในแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีใช้ไม่ได้อีกต่อไป แต่งบประมาณล่อใจ ต้องการงาบกัน จึงต้องผลักดันเม็กโปรเจ็คออกมาโดยไม่สนใจว่าป่าจะฉิบหายอย่างไร ละเมิดสิทธิชุมชนมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่..ฯลฯ ไม่สน
กรณีเขื่อนอ่างมากมายที่ปรากฏในแผนน้ำ 20 ปี เชื่อมโยงโครงข่ายน้ำ อาคารบังคับน้ำ บ่อบาดาล ปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ถ้าขหมวดมาเฉพาะช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2565-67 มีแผนพัฒนาทรัพยากรน้ำที่เข็ญออกมารวมกันมากถึง 543 โครงการ คิดเป็นวงงบประมาณ 9.94 แสนล้านบาทแล้ว
หนึ่งในโครงการสำคัญที่ถูกชาวบ้านด่ากันในวันนี้ก็คือ ผันน้ำเติมเขื่อนแก่ๆที่จะหมดอายุการใช้งาน เช่นเขื่อนภูมิพล หรือที่จะก่อสร้างใหม่เช่นเขื่อนน้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนวังหีบ เขื่อนคลองสังข์ จ.นครศรีธรรมราช ฯ เป็นต้น ไปจนถึงสาละวินและโขงเหนืออีกด้วย
โครงการต่างๆตามแผนพัฒนาทรัพยากรน้ำ 20 ปีที่เอ่ยอ้างมานี้ ล้วนมาจากวิธีคิดดังกล่าวมาข้างต้น เนื่องจากเงินบังตา จึงไม่เห็นการจัดการน้ำที่ควบคู่ไปกับการดูแลรักษา
อ่อทีกะตอที อ่อกอกะตอก่อ กินน้ำให้รักษาน้ำ ใช้ป่าดินให้รักษาป่าดิน เป็นแนวคิดปกาญอที่สืบต่อกันมาหลายช่วงคน เป็นแนวคิดที่เหมาะสมกับยุคสมัย ที่ผสานการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว บางโครงการสามารถดำเนินการได้ทันที
เช่น ถ้ามีโครงขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ไหน ต้องมีธนาคารน้ำใต้ดินบริเวณพื้นที่นั้นๆ ไม่ใช้แยกออกจากกันชัดเจน มีโครงการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติ(ตามแนวทางกรมชลประทาน)ที่ไหน ต้องปลูกต้นไม้ริมตลิ่งเช่นปกติที่ขึ้นตามธรรมชาติที่นั้น สร้างอ่างที่ไหน ท้ายอ่างต้องมีพื้นที่ป่าเท่ากับหรือมากกว่าพื้นที่น้ำท่วม อย่างนี้เป็นต้น
ถ้ากรมชลประทานสามารถดำเนินการเช่นนี้ได้ การพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวทางของกรมชลประทานก็ไม่ถึงกับล้างผลาญเสียทีเดียว เขื่อนอ่าง การฟื้นฟู การขุดเจาะบ่อบาดาล ก็ยังพอรักษาระบบนิเวศไว้ได้ เม็กโปรเจ็คก็จะหายไป กลายเป็นการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่ตอบโจทย์ระดับครัวเรือน กลุ่ม และชุมชน กระจายบนพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยนั้นๆ เช่นเดียวกับระบบเหมืองฝายแทน แม่น้ำลำห้วยทั้งหลายก็จะไหลอิสระ หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตน้อยใหญ่เป็นลำดับไปจนถึงปลายน้ำ
2. small is beautiful รับมือกับร้อน-แล้ง
ราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ได้กำหนดลุ่มน้ำของประเทศไทยออกเป็น 22 ลุ่มน้ำ แต่ละลุ่มน้ำขีดเส้นกันถึงระดับอำเภอและตำบล ส่วนเส้นทางน้ำที่ปรากฏในแผนที่ มีแต่เส้นทางน้ำสายหลักที่ไหลผ่านอำเภอนั้นๆ แต่ไม่ปรากฏลำห้วยต่างๆที่กระจายไปในแต่ละตำบล ไหลลงมาเติมเต็มแม่น้ำสายหลักของแต่ละอำเภอ
การจัดการน้ำให้เหมาะสมกับภูมินิเวศวัฒนธรรม และเหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละลุ่มน้ำย่อยระดับตำบลนั้น ต้องมีฐานข้อมูลลำห้วยต่างๆที่ไหลลงลำน้ำสายหลักของแต่ละอำเภอเป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดการน้ำทั้งระบบ
เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้และป่าต้นน้ำลดลง ประชากรก็เพิ่มขึ้น การปลูกพืชเชิงเดี่ยวทั้งบนที่สูงและพื้นราบขยายตัวมากขึ้นและเป็นพืชที่ใช้น้ำมาก แต่ขาดการบริหารจัดการน้ำที่สมดุล ระหว่างปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยและการใช้ประโยชน์ จึงกระทบต่อระบบนิเวศและคุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยระดับตำบลและลุ่มน้ำสาขาระดับอำเภอสูงมาก
ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกปี อุณหภูมิโดยเฉลี่ยแต่ละพื้นที่ก็สูงขึ้น ขับไล่ความชื้นในป่าและผืนดินระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว พอถึงฤดูร้อนก็ร้อนและแล้งจัด แม่น้ำลำห้วยต่างๆแห้งขอด ตื้นเขิน และตาย ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงระบบนิเวศในฤดูแล้ง ส่วนแม่น้ำลำห้วยที่พอมีน้ำไหลตลอดทั้งปี ก็มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยลดลงไป และผักผัน ไม่สม่ำเสมอแม้ในฤดูฝนจนยากแก่การจัดการทรัพยากรน้ำ
โดยสภาพการณ์เช่นนี้ การจัดการน้ำที่เอาค่าเฉลี่ยรายปีเช่นที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์ในการบริหารจัดการ จึงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้ปริมาณน้ำไม่ตรงตามต้องการ ทั้งยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุนโครงการขนานใหญ่ เช่นอุโมงค์ผันน้ำและเขื่อนอ่าง ซึ่งเคยเป็นนวัตกรรมในอดีตจะนำมาใช้ในยุคนี้อีกไม่ได้แล้ว หรือแม้กระทั่งโครงการขนานเล็กทั้งหลายของกรมชลประทานก็ตามที ต้องกลับมาทบทวนการจัดการน้ำที่เอาความต้องการใช้น้ำเป็นตัวตั้งเสียใหม่ หันมาสร้างดุลยภาพระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ให้ได้ จึงจะตอบโจทย์ชุมชนบนความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุดังนั้น การจัดการน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร ต้องใช้ขอบเขตลุ่มน้ำย่อยระดับตำบลเป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการ ตามศักยภาพของแต่ละลุ่มน้ำย่อยหรือตามลำห้วยสาขาเป็นหลัก ให้สอดคล้องกับภูมินิเวศวัฒนธรรมนั้นๆ อีกทั้งมีความหลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องสร้างอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวและจุดเดียวเท่านั้น ความหลากหลายของการใช้ประโยชน์ และความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์ในลุ่มน้ำนั้นๆ ต้องจัดการน้ำควบคู่กับการอนุรักษ์ที่แตกต่างกันไป ให้ตอบโจทย์การใช้ประโยชน์ของชุมชนอย่างแท้จริง
เช่นพื้นที่ลุ่มน้ำแม่วาก-แม่มะลอ ซึ่งเป็นลุ่มน้ำย่อยของลำน้ำแม่แจ่ม อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นลุ่มน้ำที่มีทั้งพื้นที่ราบและพื้นที่สูงชัน การจัดการน้ำก็ต้องหลากหลายแตกต่างกันไป มีทั้งระบบเหมืองฝายและประปาภูเขาในพื้นที่ราบ ถ้าหากสูงขึ้นไปก็จะเป็นบ่อพวงสันเขาอย่างนี้เป็นต้น
“แม่วากโมเดล” ที่เคยดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่าย คือหนึ่งในต้นแบบจัดการน้ำในลุ่มน้ำย่อยด้วยพลังของชุมชนบ้านแม่วาก ตำบลแม่นาจร มาถึงวันนี้ล่วงเลยมา 3 ปี มีบ่อพวงสันเขาขยายครอบคลุมพื้นที่ 1,800 ไร่ มีบ่อพักน้ำขนานใหญ่ 1 บ่อ ที่รับน้ำมาจากต้นน้ำ มีบ่อขนานกลางวางอยู่ต่ำลงมาเล็กน้อย กระจายตามจุดต่างๆอีก 6 บ่อ เพื่อจ่ายน้ำให้กับเกษตรได้ต่อพวงไปใช้ในพื้นที่ไร่ของตนเป็นจุดๆไป ปัจจุบันมีบ่อในพื้นที่เกษตรกรมากถึง 36 บ่อ หล่อเลี้ยงพืชระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวในไร่ที่กระจายบนสันเขา ล่าสุดกรมทรัพยากรน้ำนำไปขยายผลอีก 7 ตำบลในอำเภอแม่แจ่ม คิดเป็นงบประมาณราว 1,000 ล้านบาท
นี้คือรูปธรรมจัดการน้ำ ที่ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง และเหมาะกับพื้นที่สูงชันในลุ่มน้ำย่อยที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ถ้าลุ่มน้ำย่อยนั้นๆเป็นพื้นที่ราบเสียส่วนใหญ่ มีปัญหาเรื่องน้ำก็จัดการอีกแบบหนึ่งไป ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน อาจจะเป็นอ่างเก็บน้ำขนานเล็กก็ย่อมได้ หรือผสมผสานบ่อบาดาล+สระน้ำ+ธนาคารน้ำใต้ดินก็ไม่เสียหาย
โดยการจัดการน้ำที่หลากหลาย เล็กๆ กระจายในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยดังกล่าวมานี้ ตอบโจทย์ชุมชนในพื้นที่นั้นๆ ดีกว่าโครงการขนานใหญ่ที่ชุมชนไม่ได้อะไรเลยด้วยซ้ำ และเหมาะสมกับการจัดการน้ำท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันอีกด้วย
3. ปลดล็อคจัดการน้ำบนที่สูง
ลุ่มน้ำภาคเหนือส่วนใหญ่เป็นป่าเขาและเขาสูงชัน ถ้าเป็นลุ่มน้ำหลักขยับลงมาช่วงกลางๆ จนถึงช่วงท้ายของพื้นที่ลุ่มน้ำ ที่ราบก็จะมีมากหน่อย ถ้าเป็นช่วงต้นๆ ก็จะเป็นภูเขาสูงชันมีพื้นที่ราบลุ่มน้ำไม่มากนัก หากเป็นลุ่มน้ำสาขาก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน บางแห่งแม่น้ำลำห้วยอยู่ต่ำกว่าที่อยู่อาศัยและที่ทำกินมาก จนไม่สามารถดึงน้ำขึ้นมาใช้ได้ พื้นที่ทำกินส่วนใหญ่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก
โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ ถ้าตัดภาพแนวตั้งออกมาก็จะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่กึ่งกลางระหว่างต้นน้ำกับที่ราบลุ่มน้ำ และพื้นที่ราบลุ่มน้ำสาขา ทั้ง 3 ส่วนนี้ พื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องน้ำมากสุดคือ พื้นที่กึ่งกลางระหว่างต้นน้ำกับที่ราบลุ่มน้ำ จะดึงน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำมากใช้อุปโภคบริโภคและการเกษตรก็ไกล จะดึงน้ำจากพื้นที่ราบลุ่มน้ำมาใช้ก็ต้นทุนสูงมาก เนื่องจากเป็นการดึงน้ำจากที่ต่ำขึ้นมาที่สูงต้องใช้งบประมาณ พลังงาน และเทคโนโลยีเข้าเป็นตัวขับเคลื่อนตลอดเวลา จึงยากที่จะดึงน้ำขึ้นมาใช้ในภาคการเกษตรต่อเนื่องได้ วันนี้หลายต่อหลายโครงการที่ใช้เครื่องสูบน้ำขนานใหญ่ กลายเป็นอนุสาวรีย์ไปนักต่อนักแล้ว
ดังนั้น การจัดการน้ำที่ใช้ต้นทุนต่ำก็คือการจัดการน้ำโดยใช้แรงโน้มถ่วงของโลก หรือพูดแบบประสาชาวบ้านก็คือผันน้ำจากที่สูงลงที่ต่ำ ซึ่งทำกันมาแต่โบร่ำโบราณแล้ว แม้กระทั่งในวันนี้ก็ยังนิยมใช้กันแทบทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเล็ก กลาง หรือใหญ่ ชาวบ้านทำคนเดียวหรือทำเป็นกลุ่มก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องรอกรมชลประทานเข้ามาดำเนินการให้
ระบบเหมืองฝายในอดีตและที่หลงเหลือในพื้นที่ต้นน้ำปัจจุบัน เป็นตัวอย่างภูมิปัญญาจัดการน้ำที่ใช้แรงโน้มถ่วงของโลกผันน้ำมาใช้ในการเกษตรได้เป็นอย่างดี หรือประปาภูเขาที่ชาวบ้านช่วยกันต่อท่อจากต้นน้ำในป่ามาใช้ที่ชุมชนไปจนถึงการเกษตรก็ใช้หลักการนี้ ซึ่งใช้ได้เฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำและที่ราบลุ่มน้ำเท่านั้น
ส่วนพื้นที่กึ่งกลางระหว่างต้นน้ำกับที่ราบลุ่มน้ำ การจัดการน้ำก็ยากขึ้นไปอีก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงปล่อยเลยตามเลยไป ไม่รู้จะจัดการน้ำอย่างไรให้เกษตรกรได้ ยิ่งพื้นที่ที่มีความลาดชัน 30 องศาขึ้นไป สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 500 - 800 ม. เป็นพื้นที่ต้นน้ำก็ไม่ใช่ ที่ราบก็ไม่เชิง แต่มีผู้คนอยู่อาศัยและทำกินมานาน ผืนป่าก็หาใช้ป่าให้น้ำ ส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ จึงประสบปัญหาการจัดการน้ำสูงมาก
อ่างเก็บน้ำขนานเล็กแม้จะเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งช่วยได้ ระบบการเกษตรที่ช่วยกักเก็บน้ำใต้ดิน การขุดเจาะน้ำบาดาล หรือแม้แต่การลงทุนวางระบบน้ำจากต้นน้ำที่มีศักยภาพมาใช้ในพื้นที่ลักษณะนี้ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดการน้ำภายใต้สภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ เพียงแต่ที่ผ่านมาถูกละเลยไป เกษตรกรที่อยู่อาศัยและทำกินจึงดิ้นรนด้วยตนเอง และปรับตัวไปตามสภาพภูมิอากาศแต่ละปีที่แตกต่างกันไป แม้ไม่สามารถทำการเกษตรได้ทั้งปี ขอเพียงมีโอกาสช่วงเวลาหนึ่งสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ก็ไม่กลัวว่าจะไม่มีเงินใช้หนี้ ถึงไม่มีเหลือก็ไม่เป็นไร
มาถึงพ.ศ.นี้ ต้องบอกว่า พื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 500 - 800 เมตรในภาคเหนือ ประสบปัญหาเรื่องน้ำมากที่สุด ไปปักหมุดพัฒนาระบบน้ำที่ไหนก็ไปติดกับดักกฎหมายป่าไม้ทั้งหมด ชุมชนจึงอดที่จะได้รับการพัฒนาให้เงยหน้าอ้าปากได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าปลดล็อคจัดการน้ำได้ ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่สูงก็จะเบาบางลงไป เกษตรกรก็จะเดินหน้าต่อได้โดยไม่ถูกแช่แข็ง
4. หยุดรวมศูนย์จัดการน้ำ
คำว่า ‘ผู้ใช้น้ำ’ กับ ‘ผู้จัดการน้ำ’ มีความแตกต่างกันชัดเจน ชุมชนที่เคยเป็นผู้จัดการน้ำด้วยตนเองแต่ไหนแต่ไรมา วันนี้กลายมาเป็นผู้ใช้น้ำ หรือกลุ่มผู้ใช้น้ำไปโดยปริยาย เว้นแต่พื้นที่ต้นน้ำห่างไกลที่กรมชลประทานไปไม่ถึง หรือไปถึงแต่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เนื่องจากเป็นชุมชนเล็กๆ พื้นที่การเกษตรก็มีน้อย ใช้งบทีไม่กี่แสนบาท หรืออย่างมากก็แค่ล้านสองล้าน ไม่จูงใจให้เข้าไปดำเนินงาน ชุมชนที่อยู่มานานจึงต้องจัดการน้ำด้วยตนเอง
การจัดการน้ำพื้นที่ต้นน้ำในปัจจุบัน ยังคงมีความแตกต่างหลากหลายไปตามสภาพพื้นที่และการใช้ประโยชน์ของชาวบ้าน เรียกกันว่า“ฝายภูมิปัญญาชาวบ้าน” ถ้าจะจำแนกความแตกต่างตามขนานของฝายซึ่งสัมพันธ์กับกลุ่มจัดการน้ำ แบ่งกันออกเป็น 4 ระดับด้วยกันคือ จัดการน้ำเกษตรระดับครอบครัว กลุ่ม ชุมชน และลุ่มน้ำ
จัดการน้ำระดับครอบครัว เป็นการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรมาใช้ในเรือกสวนไร่นาของตน เดิมทีทำกันเฉพาะฤดูน้ำมาก ชาวบ้านจะใช้วิธีการ “แบ่งน้ำ” จากลำห้วย ด้วยการใช้ไม้และเศษหญ้ามากั้นหรือขวางลำห้วยไว้ เพื่อดันน้ำเข้าคลองเล็กๆให้ไหลลงไปในเรือกสวนไร่นา ถ้าเหลือใช้ก็ปล่อยไหลกลับลงไปในลำห้วยที่เดิม วัสดุที่นำมาใช้ไม่เน้นความแข็งแรงถาวร ถ้าน้ำมากเศษไม้ใบหญ้าก็จะถูกน้ำพัดพาไป น้ำในลำห้วยที่เอ่อสูงขึ้นส่วนหนึ่งก็จะไหลเข้าคลองไปโดยไม่จำเป็นต้องกั้นอีก
จัดการน้ำระดับกลุ่ม เป็นการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรเช่นเดียวกัน แต่เป็นการรวมเอาเพื่อนบ้านที่มีที่ทำกินติดกันมาช่วยกันจัดการน้ำเข้าพื้นที่ทำกินที่มีขนานกว้างขึ้นกว่าระดับครัวเรือนมาก คลองส่งน้ำก็มีความยาวพอควร ตัวฝายก็จะเป็นลักษณะกึ่งถาวร คือมีความแข็งแรงพอควร แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค์การไหลของน้ำ พอน้ำหลากไม่มากก็เอ่อล้นไป แต่ถ้าน้ำมากไหลแรงก็พังและสร้างใหม่
จัดการน้ำระดับชุมชน ใหญ่กว่ากลุ่มข้างต้นมาก เนื่องจากต้องผันน้ำมาใช้ในพื้นที่กว้างขึ้น จะเรียกว่าลุ่มน้ำเล็กๆของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ เป็นเกษตรแปลงใหญ่ที่ชุมชนเป็นเจ้าของร่วมกัน ไม่ใช่นายทุนเพียงคนเดียวเป็นเจ้าของ ดังนั้นการจัดการน้ำจึงต้องอาศัยความร่วมไม้ร่วมมือของคนทั้งชุมชนที่มีพื้นที่ทำกินในขอบเขตที่ใช้น้ำช่วยกันขุดคลองส่งน้ำ สร้างฝายถาวรที่สอดคล้องกับระบบนิเวศ ยกระดับน้ำหลังฝายให้สูงขึ้นไป แต่ไม่เป็นอุปสรรค์การไหลของน้ำในทุกฤดูกาล โดยใช้ไม้เนื้อแข็งผ่าซีก เหลาปลายแหลม ยาว 1 เมตรหรือเมตรกว่าๆ ตอกยึดกับผืนดินขวางลำน้ำ ใช้หินหรือไม้วางแทรกลงไป ทำหน้าที่คล้ายกับตะแกรงดักหินดินทรายยกระดับน้ำหลังฝายให้สูงขึ้น ถ้าเป็นฝายใหม่ต้องใช้เวลา 2-3 ปี โดยทุกๆปีชุมชนก็จะพากันมาตีฝาย คือเอาไม้เนื้อแข็งมาตอกซ้อนลงไปให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
จัดการน้ำระดับลุ่มน้ำสาขาและลุ่มน้ำหลัก ซึ่งรวมกันหลายๆชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาที่มีน้ำมาก ไหลตลอดทั้งปี ฝายที่สร้างในลำน้ำสาขา (เช่น น้ำแม่แจ่ม น้ำขาน แม่กวง ลี้ แม่แตง ฯ) หรือสร้างในแม่น้ำหลัก (เช่น ปิง วัง ยม น่าน) เป็นฝายภูมิปัญญาขนานใหญ่ ซึ่งไม่มีให้เห็นแล้วในลุ่มน้ำหลักปัจจุบัน เว้นแต่ลุ่มน้ำสาขาเท่านั้นที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างไม่มากนัก หากแต่ก็ใกล้จะสูญพันธุ์ไปด้วยเช่นกัน
ตัวฝายระดับลุ่มน้ำสาขาและลุ่มน้ำหลักดังกล่าวมานี้ ใช้กำลังคนและวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก ทั้งมีขนานใหญ่โตกว่าตัวฝายระดับชุมชนมาก ใช้เวลาก่อสร้างหรือว่าซ่อมแซมหลายวัน โดยผลัดเปลี่ยนกันมาทำงานเป็นชุมชนๆไป ขึ้นอยู่ประธานและคณะกรรมการเหมืองฝายเป็นคนจัดสรร ให้สมาชิกหมุนเวียนกันมาทำงานจนแล้วเสร็จ ส่วนวัสดุทำฝายก็ให้สมาชิกเป็นผู้จัดหาไม้มารายละกี่เล่ม ยาวเท่าไหร่ก็ว่ากันไป แต่ส่วนใหญ่ไม่น้อยกว่า 2 เมตรขึ้นไป เมื่อเสร็จก่อสร้างหรือว่าซ่อมแซมฝาย รวมไปถึงขุดลอกคลองส่งน้ำ สมาชิกผู้ใช้น้ำก็ต้องมาชุมนุมกันเลี้ยงผีฝายอีกทีถึงจะเสร็จพิธีโดยสมบูรณ์ในปีนั้นๆ
การจัดการน้ำระบบเหมืองฝายทั้ง 4 ระดับดังกล่าวมานี้มีความแตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือ ตัวฝายไม่ได้กีดขว้างทางน้ำ แต่สอดคล้องกับระบบนิเวศเป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นที่พึงพาอาศัยของสัตว์น้ำอีกด้วย ครอบครัว กลุ่ม และชุมชน ก็อยู่ในฐานะ“ผู้จัดการน้ำและผู้ใช้น้ำ”ไปพร้อมๆกัน สมาชิกทุกคนต่างมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ ไม่มีใครหน่วยงานใดเป็นเจ้าของ นอกจากผีสางเทวดาที่ถูกอัญเชิญมาสถิต ปกปักรักษาฝายซึ่งเป็นสมบัติร่วมของทุกคน หรือบางชุมชนเรียกกันในภาษาพื้นถิ่นว่า“ของหน้าหมู่” ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะเหมืองฝายเท่านั้น สิ่งปลูกสร้างใดที่ชุมชนทำร่วมกัน ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ยกให้ผีสางเทวดาดูแลรักษา ถือว่าของหน้าหมู่หรือของส่วนรวมทั้งสิ้น
วันนี้ไม่มีอีกแล้วของหน้าหมู่ ที่พอเหลืออยู่บ้างแต่จางๆไปก็เฉพาะระดับครอบครัวและกลุ่มในลุ่มน้ำย่อยเท่านั้น การรุกคืบของอำนาจรัฐผ่านระบบการจัดการน้ำโดยกรมชลประทาน เข้าไปยึดอำนาจจัดการน้ำจากชุมชนแทบจะหมดสิ้น ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 เป็นต้นมา เทพเจ้ากาลีทำลายและยึดของหน้าหมู่มาอยู่ที่กรมชลประทาน ผ่านโครงการต่างๆทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ในสมัยนั้น 16,000 กว่าโครงการที่ก่อสร้างตามลุ่มน้ำหลักและลุ่มน้ำสาขา
ไม่ว่าจะเป็นฝายคอนกรีต ฝายน้ำล้น ประตูน้ำ อ่างเก็บน้ำขนานเล็ก และเขื่อนขนานใหญ่ ที่เคยเป็นนวัตกรรมจัดการน้ำ ถูกต้องคำถามท่ามกลางเอลนีโญและลานีญ่ากันแล้วว่า แก้ปัญหาหรือสร้างปัญหาใหม่ ฝายคอนกรีต ประตูน้ำ เขื่อน อ่าง เป็นอย่างไรในวันนี้ ใช้ได้จริงกี่เปอร์เซ็นต์ แก้น้ำท่วมน้ำแล้งได้จริงหรือไม่ จุน้ำตามเป้าหมายจริงมั๊ย
สรุปข้อเสนอ ;
1.สร้างสมดุลการใช้ประโยชน์กับการอนุรักษ์ เช่น สร้างธนาคารน้ำคู่กับบ่อน้ำ-สระน้ำป้องกันน้ำท่วมน้ำแล้ง, ปลูกต้นไม้หน้าอ่างเก็บน้ำขนานเล็ก ปลูกต้นไม้ริมน้ำป้องกันตลิ่งผังแผนพนังกั้นน้ำ ฯ
2.กระจายอำนาจจัดการน้ำให้ชุมชน-ท้องถิ่น เช่น ส่งเสริมระบบเหมืองฝาย บ่อน้ำ-สระน้ำในไร่นาและสวน ฯ
3.จัดการน้ำขนานเล็ก กระจาย หลากหลาย และให้สอดคล้องกับภูมินิเวศ พื้นที่ลุ่มน้ำขนานเล็ก กลาง ใหญ่ เช่น บ่อพวงสันเขา อ่างเก็บน้ำขนานเล็ก ฝ่ายน้ำล้น ประปาหมู่บ้าน ขุดบ่อน้ำ สระน้ำ เหมืองฝายภูมิปัญญา ฯ
4.ฟื้นฟูระบบนิเวศลุ่มน้ำทุกระดับ เช่น ขยายร่องน้ำ ปลูกต้นไม้ป้องกันตลิ่งพังแทนพนังกั้นน้ำ เพิ่มพื้นที่สีเขียวพื้นที่ต้นน้ำ ปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เพื่อลดการใช้สารเคมีการเกษตร อันเป็นสาเหตุทำให้คุณภาพน้ำต่ำ


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น