ปฏิรูป คทช. จัดที่ดินทำกินอาศัยใหม่ให้สิทธิ์


คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) มีเป้าหมายในการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชายเลน ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ราชพัสดุ ที่ดินสงวนเพื่อกิจการนิคมในนิคมสร้างตนเอง ป่าตามพรบ.ป่าไม้ 2484 เขตป่าไม้ถาวร และที่ดินสหกรณ์ รวมทั้งหมด 12.4 ล้านไร่ มีประชาชนทำกินอาศัย 6.2 แสนราย โดยให้ส่วนงานที่ดูแลแต่ละพื้นที่เป็นเจ้าภาพดำเนินการตามนโยบาย แผนงาน และแนวทาง ที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติจัดทำไว้ในความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี

การดำเนินงานหลายปีที่ผ่านมา มีประเด็นปัญหาหลากหลายด้านที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ให้สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปมากในทุกพื้นที่

1.) ประเด็นตัวพรบ.คทช.ที่มีแต่ซูปเปอร์บอร์ด ไม่มีรายละเอียดอื่นใดเหมือนพรบ.อื่น การดำเนินการใดๆภายใต้นโยบายและแผนคทช.ต้องอิงกฎหมาย ระเบียบ มติครม.อื่นที่ล้าหลังทั้งหมด ซึ่งควรหรือต้องยกเลิกด้วยซ้ำ เช่น อิงกับมติครม.30 มิ.ย.41 อิงกับมติครม.ว่าด้วยชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ อิงกับพรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ ฯ เป็นต้น

2.) ไม่สามารถบูรณาการข้อมูลกันได้ เนื่องจากการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน 12.4 ล้านไร่ เป็นภารกิจของส่วนราชการที่ดูแลพื้นที่นั้นๆ แยกขาดจากกันชัดเจน เช่น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ-กรมป่าไม้ดำเนินการ ป่าชายเลน-กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.)ดำเนินการ ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน-สำนักงานปฏิรูปที่ดินดำเนินการ ที่ดินสาธารณประโยชน์-มหาดไทยดำเนินการ ที่ราชพัสดุ-กรมธนารักษ์ดำเนินการ ฯ เมื่อท้องถิ่นปรับปรุงถนนหนทางผ่านพื้นที่ได ก็ให้ไปขอนุญาตเจ้ากรมที่ดูแลพื้นที่นั่นๆ ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก

3.) ประเด็นสิทธิในที่ดินทำกินอาศัย ก็ชัดเจนตามสโลแกนคทช.ที่ว่า “รัฐได้ป่าประชาได้ที่ทำกินที่ดินเป็นของรัฐ” จึงจัดที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ ครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ มีกำหนดเวลาคราวละไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี ถ้าครบ 30 ปีต้องยืนขอนุญาตใหม่ หากผู้ขออนุญาตเสียชีวิตวันใด ทายาทต้องรีบแจ้งความประสงค์ใช้ประโยชน์ต่อไป ไม่งั้นก็จะหมดโอกาส และถ้าหากไม่ใช้ประโยชน์เกิน 2 ปี หรือยินยอมให้บุคคลอื่นนอกครอบครัวใช้ประโยชน์ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทันที (ม.16 พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507)

4.) ประเด็นสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามมติครม.26 พ.ย.61 ซึ่งกำหนดกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทํากินในพื้นที่ป่าไม้ไว้ 5 ประเภท มี 2 ประเภทที่กำหนดให้ปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจ และปลูกป่า 3 อย่างได้แก่

กลุ่มที่ 2 ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3 - 5 หลังมติคณะรัฐมนตรี 30 มิ.ย.2541 ซึ่งต้องปฏิบัติตามคําสั่งคสช. ปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ และชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1-2 ก่อนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2541 ปลูกป่า 3 อย่าง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ และต้องเป็นไม้มีค่า 58 ชนิดตามที่กรมป่าไม้กำหนดเท่านั้น

ส่วนผู้ทำกินอาศัยหลังมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ม.ย.2541 ถือว่าบุกรุกใหม่ ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย

5.) ข้อกำหนดการใช้ที่ดินและเงื่อนไขในสมุดประจำตัวคทช. ตามมติคณะรัฐมนตรี 26 พ.ย.2561 ซึ่งออกโดยกรมป่าไม้ จำกัดสิทธิ์ผู้ทำกินอาศัยมากไป ให้ยืมและแลกเปลี่ยนทำกันก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การกำกับกรมป่าไม้ทั้งหมด

ในด้านเงื่อนไข ผู้ทำกินอาศัยต้องรายงานการใช้ประโยชน์ปีละ 1 ครั้ง ห้ามเผา ห้ามใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและวัชพืช ห้ามตัดไม้ที่ขึ้นอยู่ที่เดิม(เว้นแต่จะขอนุญาต) และต้องปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจและป่า 3 อย่าง ให้ได้ตามกำหนด โดยที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด ไม่เข้ามาส่งเสริม ให้ผู้ใช้ประโยชน์ดำเนินการด้วยตนเอง

6.) กระบวนการอนุมัติอนุญาตมีความซับซ้อน เนื่องจากต้องอิงกฎหมาย ระเบียบ มติครม.อื่นที่ล้าหลัง เช่น อิงกับมติครม.30 มิ.ย.41 อิงกับมติครม.ว่าด้วยชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ อิงกับพรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ และอิงกับคำสั่งคสช.ที่ 64 และ 66/2557 เป็นเหตุทำให้ล่าช้า ตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งระยะเวลาการถือครองที่ดิน-ขอบเขตพื้นที่ตามมติครม.30 มิ.ย.41 ตรวจสอบกับมติครม.ว่าด้วยชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ จากนั้นจึงดำเนินการตาม ม.16 พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติและคำสั่งคสช.ฯ

ทำให้ที่ดินทำกินอาศัยใน 1 แปลง ถูกแบ่งออกเป็น 2 ถึง 3 ส่วนตามพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ สมุดประจำตัวคทช.ก็ออกตามชั้นคุณภาลุ่มน้ำเช่นกัน ทำให้ที่ทำกินอาศัยใน 1 แปลงมีสมุดประจำตัวคทช. 2 ,3 เล่ม ถ้าแปลงไหนอยู่ในกลุ่ม 2 ต้องปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจกับป่า 3 อย่าง ในแปลงแปลงเดียวกันอีกต่างหาก

การขออนุญาตปรับปรุงถนนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ผ่านพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่ม 1 - 5 โดยกฎหมายและระเบียบที่ล้าหลัง ทำให้ต้องแยกคำขอออกไปตามชั้นคุณภาพลุ่มน้ำอีกเช่นกัน ผ่านลุ่มน้ำชั้นไหนก็ต้องทำคำขอใหม่ ปรับปรุงถนนเส้นเดียวต้องทำคำขออนุญาตมากถึง 4 คำขอ

7.) คณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนมี 4 คณะฯด้วยกัน ได้แก่ คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน คณะอนุกรรมการจัดที่ดิน คณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด และคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด(คทช.จังหวัด)

โดย 1 ใน 4 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด หากจะพูดถึงภารกิจแล้วต้องทำงานต่อเนื่องหลายปี ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาที่ดิน การพัฒนาแหล่งน้ำและการพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน การส่งเสริมพัฒนาอาชีพ การเข้าถึงแหล่งทุน และจัดทำบัญชีครัวเรือน การดำเนินการที่ผ่านมาไม่มีความชัดเจนให้เห็นเป็นรูปธรรม กรณี อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ปล่อยให้ภาคประชาสังคมประสานกับกรมทรัพยากรน้ำพัฒนาแหล่งน้ำกันเอง ไม่เห็นคณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาดลงมาดำเนินการแต่อย่างใด

ส่วนในด้านประโยชน์ที่บุคคล ชุมชน และหน่วยงานต่างๆที่ทำกินอาศัยในเขตป่าสงวนได้รับจากการจัดที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ พอแบ่งออกได้ดังนี้

1.) การอนุมัติอนุญาตก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในพื้นที่ป่าสงวน ไม่ว่าจะเป็นถนนในเขตป่า การจัดการน้ำ ไฟฟ้า การก่อสร้างอาคารสถานที่ราชการและชุมชน เช่น วัด โรงเรียน สำนักงานอบต. โรงพยาบาลชุมชน หน่วยงานป่าไม้ ไม่จำเป็นต้องส่งให้อธิบดีกรมป่าไม้ส่วนกลางเป็นผู้มีอำนาจลงนามเหมือนสมัยก่อน ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้จังหวัด อนุมัติอนุญาตตามที่อธิบดีกรมป่าไม้มอบอำนาจได้ทันที (แต่ก็มีปัญหาการขอนุญาตดำเนินการในพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่ต้องแยกคำขอออกไปหลายคำขอ พอผ่านพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่ป่าสงวนแห่งชาติ เช่น สปก. ป่าถาวร ที่ราชพัสดุ ฯ ก็ต้องทำคำขออนุญาตใหม่ส่งให้เจ้ากรมที่ดูแลพื้นที่นั่นอีก)

2.) องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล โรงเรียน โรงพยาบาลชุมชน วัด โบสถ์ สถานที่ราชการอื่น สามารถตั้งงบประมาณพัฒนาชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ในพื้นที่ทำกินอาศัยในเขตป่าสงวนที่ได้รับอนุญาตได้ทันที ส่งผลให้ชุมชนมีไฟฟ้าใช้ มีถนนสะดวกสบาย เดินทางไปไหนมาไหนรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งพืชผลการเกษตรเข้าสู่เมือง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ทำกินอาศัยในเขตป่าสงวนได้เป็นอย่างดี

3.) ผู้มีสิทธิ์ทำกินอาศัยในเขตป่าสงวนสามารถขุดบ่อ ขุดสระน้ำ วางระบบน้ำเพื่อการเกษตร ปรับปรุงถนนหนทาง ก่อสร้างโรงเรือน ก่อสร้างอาคารเพื่อการเกษตรในที่ดินทำกินอาศัย หรือพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

4.) ผู้มีสิทธิ์ทำกินอาศัยในเขตป่าสงวน สามารถยกระดับมาตรฐานการเกษตร (GAP,หรือ GMP) เพื่อที่จะผลิตสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคได้

5.) ลดการบุกรุก แผวถาง ขยายพื้นที่ทำกินอาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ป่าชายเลน เนื่องจากมีฐานข้อมูลรายแปลงและระบบตรวจสอบขอบเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินชัดเจน

ประเด็นปัญหาและประโยชน์ที่บุคคล ชุมชน และหน่วยงานต่างๆได้รับดังกล่าวข้างต้น มีประเด็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไขมากมาย เนื่องจากในปัจจุบัน การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละพื้นที่มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ 3 - 5 หรือว่าพื้นที่ลุ่มน้ำ 1,2 จำนวนไม่น้อยแปรสภาพเป็นพื้นที่ทำกินอาศัยถาวร มีคนอยู่อาศัยหนาแน่น เป็นชุมชนและเมือง มีสถานที่ราชการ วัดวาอาราม มีสถานประกอบการ ฯ กระจายเต็มพื้นที่ อีกทั้งพื้นที่ทำกินอาศัยจำนวนไม่น้อย เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นก่อนจะมีกฎหมายด้วยซ้ำ ทำให้ประชาชนบางส่วน ไม่ย่อมรับ“สิทธิในที่ดิน”และ“สิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดิน”คทช.

โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยทำกินมานานในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ป่าตามพรบ.ป่าไม้ 2484 ที่ป่าไม้ถาวร ที่ดินสงวนเพื่อกิจการนิคมในนิคมสร้างตนเอง และที่ดินสหกรณ์ ประการหลังนี้เคยมีสิทธิในที่ดินและสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ต่างไปจากคทช. ผู้ทำกินอาศัยจึงไม่ต้องการกลับมาทำกินอาศัยภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขคทช. จึงขออยู่กับนิคมสหกรณ์ ดังเช่น กรณีชาวบ้าน-แก่นนำที่ทำกินอาศัยใน 14 ป่า 13 นิคมสหกรณ์ฯ เรียกร้องและคัดค้านการคืนที่ดินสหกรณ์นิคมแก่กรมป่าไม้ เป็นต้น

ข้อเสนอ ;

1. ปรับปรุงแก้ไข พรบ.คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.2562 ในส่วนอำนาจหน้าที่ซูปเปอร์บอร์ด และเพิ่มหมวดต่างๆให้ชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องไปอิงมติครม. กฎหมาย ระเบียบอื่นๆอีก เช่น หมวดว่าด้วยการจัดหาที่ดิน หมวดว่าด้วยการจัดที่ดิน หมวดว่าด้วยการครองชีพ ฯ เป็นต้น

2. หมวดว่าด้วยการจัดหาที่ดิน ต้องจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทชัดเจน เช่น ไร่หมุนเวียน ไร่ถาวร สวน นา หมู่บ้าน พื้นที่สาธารณะ ชุมชนเมือง ฯ

3. หมวดว่าด้วยการจัดที่ดิน ให้ใช้ข้อมูลแนวเขตที่ดินรายแปลง พยานบุคคลและชุมชน ใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังในการพิสูจน์สิทธิ์ ตัดพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำออก

4. หมวดว่าด้วยการครองชีพ ในพี้นที่ต่างๆ ต้องมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามการใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภท บางประเภทต้องถอดถอนออกจากป่าสงวน ป่าถาวร ฯ ให้กรรมสิทธิ์ผู้ทำกินอาศัย เช่น ชุมชน และชุมชนเมือง อย่างตัวอำเภออมก๋อย ตัวอำเภอกัลยาณิวัฒนา ฯ สวน นา หรือชุมชนหมู่บ้านดังเดิมที่อยู่มาก่อนกฎหมายประกาศใช้ ฯลฯ ส่วนพื้นที่ไร่ถาวรในเขตป่าสงวน ฯ ให้บริหารจัดการในรูปแบบนิคมสร้างตนเองหรือนิคมสหกรณ์แทน หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สมเกียรติ มีธรรม ฯ ป่าไม้ ที่ดินทำกินและเศรษฐกิจชุมชน ความยั่งยืนของการจัดการไฟป่า

ปฏิรูประบบราชการให้จิ๋วแต่แจ๋ว

ข้อเสนอสีเขียว : แม่วากโมเดล รูปธรรมบูรณาการจัดการดินน้ำป่า สู่การแก้ปัญหาเชิงนโยบาย ภายใต้แม่แจ่มโมเดลและแม่แจ่มโมเดลพลัส