ปฏิรูป EIA คุ้มครองสิ่งแวดล้อมและชุมชน
การศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน (EIA) ยังคงเป็นประเด็นวิพาษวิจารณ์กันมายาวนาน ล่าสุดโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคมของไทย ที่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน มีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทันสมัยที่ชุมพร (ฝั่งอ่าวไทย) และระนอง (ฝั่งอันดามัน) ก่อสร้างทางหลวงพิเศษ ทางรถไฟ และระบบท่อขนส่ง ก็ประสบปัญหากระบวนการทำ EIA เช่นเดียวกัน
หรือย้อนหลังไปในปี 2567 EIAร้านลาบ โครงการผันน้ำยวมมาลงเขื่อนภูมิพล ก็ถูกคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ หรือย้อนหลังไป 10 ปีที่แล้ว โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีโครงการสร้างเขื่อนขนานใหญ่ 18 เขื่อน มีทั้งเขื่อนแม่แจ่ม เขื่อนแม่ขาน จ.เชียงใหม่ เขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ เขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ เขื่อนคลองชุมพู พิษณุโลก ฯ ก็ประสบปัญหาการทำ EIA เช่นเดียวกัน ถึงกับมีการเดินรณรงค์ค้าน EIA โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ฯ
ตราบจนปัจจุบัน การศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน ตามที่รัฐธรรนูญไทยพ.ศ.2560 ม. 58 กำหนดไว้
“..ให้โครงการรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดําเนินการ ถ้าการนั้นอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดําเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อนํามาประกอบการพิจารณา ดําเนินการหรืออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญัติ..”
ก็ยังเป็นปัญหาหลักไม่จบสิ้นตลอด 35 ปีที่ผ่านมา นับแต่มีกฎหมายบังคับใช้ ;
1. EIA เป็นเพียงตรายางรับรองให้กับเจ้าของโครงการ ไม่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม-ชุมชนแท้จริง
การทำ EIA หรือ EHIA โดยบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งถูกว่าจ้างจากผู้รับผิดชอบโครงการหรือกิจการนั้น ตามมาตรา 47 วรรค 1 พรบ.ส่งเสริมและคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2562 ไม่มีบริษัทที่ปรึกษาไหนที่ทำ EIA ปกป้องคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน EIA ที่ศึกษาออกมาล้วนตอบโจทย์ผู้ว่าจ้าง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการหรือกิจการนั้นให้ดำเนินโครงการต่อไปได้ จึงทำให้ EIAที่ผ่านมากลายเป็นตรายางไว้ประทับรับรองให้กับเจ้าของโครงการหรือกิจการนั้นไปโดยปริยาย ไม่มีบริษัทที่ปรึกษาไหนที่รับเงินจากนายจ้างหลายล้านบาทมาศึกษาฯไม่ตอบโจทย์นายจ้าง
เพื่อไม่ให้กระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนและชุมชน บริษัทที่ปรึกษาก็พร้อมที่จะละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน เสนอให้ย้ายชุมชน โรงเรียน สถานที่ราชการ สถานประกอบการ ย้ายสัตว์ป่า ฯ ออกจากพื้นที่โครงการ และพร้อมที่จะบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อให้เห็นว่า พื้นที่ดำเนินโครงการหรือกิจการนั้นมีผลกระทบไม่มาก และผลกระทบที่เกิดขึ้นมีทางแก้ไข สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยบริษัทที่ปรึกษาไม่ต้องมารับผิดชอบใดๆอีก
วันนี้เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนท่าปลาหรือเขื่อนสิริกิตติ์ จ.อุตรดิตถ์ ผ่านมาร่วม 50 กว่าปี ชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมก็ยังไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆก็มีอีกไม่น้อย ที่อยู่อาศัย ไร่ นา วัดวาอารามต้องจมอยู่ใต้น้ำ ครอบครัวบ้านแตกสาแหลกขาด ไม่มีที่ทำกินอาศัย ต้องไปพึงที่จัดสรรให้พักพิง ไม่มีที่ดินทำกินอาศัยเป็นของตนเองกระทั่งทุกวันนี้ ส่วนที่จัดสรรให้ก็ไม่มีเอกสารสิทธิ์ สามารถไปดูได้ที่นิคมสหกรณ์แม่แจ่ม อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และชาวบ้านอำเภอท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ หรือกรณีเหมืองทองอัครา จ.พิจิตร-พิษณุโลก ฯ และอีกหลายๆโครงการและกิจการที่ศึกษา EIA ไป แต่ส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างประเมินค่ามิได้ ไม่ต่างอะไรกับอาชญกรรมสิ่งแวดล้อมและชุมชนถูกกฎหมาย
โดยนัยนี้พี่น้องสะเอียบ ต.สะเอียบ จ.แพร่ ไม่ยอมให้บริษัทที่ปรึกษาเข้ามาพื้นที่โครงการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นกระทั่งทุกวันนี้
2.การติดตามตรวจสอบระหว่าง-หลังดำเนินโครงการ ผู้ประกอบการมักไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขEIA
บริษัทที่ปรึกษาทำ EIA รวมถึงคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คณะกรรมผู้ชำนาญการ ที่ให้ความเห็นชอบ ไม่เคยต้องรับผิดชอบผลจากการตัดสินใจเห็นชอบโครงการหรือกิจการที่ดำเนินการไปแล้ว ส่งผลกระทบกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อมหลังก่อสร้างโครงการสิ้นสุดลง พวกเขาฯยังคงลอยนวลลอยหน้าลอยตาหาโครงการใหม่ทำต่อไปคล้ายกับฆาตกรต่อเนื่อง มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ระหว่างดำเนินโครงการและหลังการดำเนินโครงการ เป็นเพียงเสือกระดาษ ในทางปฏิบัติกลับพบว่าผู้ประกอบการมักไม่ยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงาน
3. มีการเปลี่ยนสภาพหรือขนาดของโครงการไม่ให้เข้าลักษณะต้องจัดทำEIA
โดยวิธีการเปลี่ยนสภาพหรือขนาดของโครงการหรือกิจการไม่ให้เข้าลักษณะที่ต้องจัดทำ EIA เช่น ประกาศกระทรวงฯกำหนดให้โรงแรมหรือสถานที่พักตากอากาศ ที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป หรือมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรขึ้นไปต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการหรือผู้รับผิดชอบโครงการก็จะใช้วิธีลดห้องพักหรือพื้นที่ใช้สอยลงให้เหลือเพียง 79 ห้อง หรือ 3,990 ตารางเมตรแทนแล้วแบ่งเป็นหลายโครงการ
เขื่อนกักเก็บน้ำหรืออ่างเก็บน้ำก็เช่นกัน ตามประกาศกระทรวงฯกำหนดให้ปริมาณกักเก็บ 100 ล้านลบ.ม. หรือ 15 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปต้องทำ EIA แต่เจ้าของโครงการฯก็ลดขนานกักเก็บลงมาอยู่ที่ 99 ล้านลบ.ม. หรือ 14.5 ตรม.กม. ฯ อย่างนี้เป็นต้น โครงการหรือกิจการอื่นก็เช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม เจ้าของโครงการก็จะลดขนานให้ต่ำกว่าที่ประกาศกระทรวงฯกำหนดเล็กน้อย แต่ผลกระทบฯแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย
4. ขยายเวลาพิจารณาและลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงประกอบรายงาน
ให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาเห็นชอบให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันอาจสั้นเกินไป ถ้าไม่ได้พิจารณาให้เสร็จภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าคณะกรรมการผู้ชํานาญการให้ความเห็นชอบแล้ว (มาตรา 49) การกำหนดระยะเวลาดังกล่าวอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ เนื่องจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมบางโครงการอาจมีความยาวและความละเอียดมาก เป็นการยากที่จะพิจารณารายงานให้แล้วเสร็จทันกำหนด ประกอบกับผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการผู้ชำนาญการอาจมีภารกิจด้านอื่นๆ ทำให้การพิจารณารายงานตามกำหนดเวลาบางโครงการไม่ละเอียดรอบคอบเท่าที่ควรจะเป็น
5. กระบวนการรับฟังความคิดเห็น เป็นประเด็นปัญหาในทางปฏิบัติตลอดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเวทีการกำหนดขอบเขตและแนวทางประเมินผลกระทบ(ค.1) เวทีรับฟังขั้นตอนการประเมินฯและจัดทำรายงาน(ค.2) เวทีทบทวนร่างรายงานฯมาตรการป้องกันแก้ไข ติดตามตรวจสอบ(ค.3) พบว่า ;
5.1 ขอบเขตการศึกษาไม่ครอบคลุมทั้งในเชิงพื้นที่และประเด็นที่อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากไปเจาะจงเฉพาะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเท่านั้น เช่น กรณีเขื่อนอ่าง ก็จะเจาะจงเฉพาะชุมชน สัตว์น้ำ ฯ บริเวณพื้นที่กักเก็บน้ำหรือพื้นที่น้ำท่วมถึงเท่านั้น ส่วนพื้นที่ลำน้ำท้ายและเหนือเขื่อน ประเด็นวิถีวัฒนธรรม ไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ
5.2 กลุ่มเป้าหมายที่ปรากฏข้อเท็จจริงในพื้นที่โครงการหรือกิจการนั้น มี 2 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มที่คัดค้านและกลุ่มที่เห็นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ก็จะถูกรับเชิญมาร่วมในทุกเวทีด้วยเช่นกัน และกลุ่มนี้มักจะได้การปฏิบัติที่พิเศษกว่ากลุ่มที่คัดค้าน ตัวอย่างเวทีรับฟังความคิดเห็นกรณีเขื่อนแม่แจ่ม เขื่อนแม่ขาน จ.เชียงใหม่ เมื่อ 30 ตุลาคม 2556 มีคนร่วมงานกว่า 2,000 คน ปรากฎว่าผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมเวทีมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง ชัยนาท ฯ จำนวนมาก และอำเภออื่นในจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งๆที่ไม่อยู่ในพื้นที่โครงการฯ
5.3 ความเห็นประชาชนไร้ค่า ในรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ข้อเสนอหรือความเห็นของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ที่คัดค้าน ถูกบันทึกในตาราง“สรุปประเด็นข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะและคำชี้แจงจากบริษัทที่ปรึกษา” เพียงคำว่า “รับทราบข้อคิดเห็น” “รับทราบข้อเสนอแนะ” “รับทราบข้อมูล” เท่านั้น ไม่ได้ถูกนำมาเป็นข้อมูลในการพิจารณาให้โครงการหรือกิจการเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ โดยนัยนี้เวทีรับฟังความเห็นจึงเป็นเพียงพิธีกรรมหนึ่งในขั้นตอนของการทำ EIA เท่านั้น นี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนๆจริงล้มเวทีรับฟังความเห็นบ่อยครั้ง
ด้วยเหตุดังนั้น จึงต้องปรับปรุงแก้ไข พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ใหม่ดังนี้
1. ในหมวด 7 ว่าด้วยบทกำหนดโทษ พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 ต้องให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู็มีสิทธิทํารายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและเจ้าของโครงการ ได้รับโทษทั้งทางแพ่งและอาญา ถ้าเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน อันเกิดจากการดำเนินโครงการ ทั้งระหว่างดำเนินโครงการและหลังดำเนินโครงการไม่เกิน 5 ปี
2. มาตรา 50 เพื่อประโยชน์ในการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 48 และมาตรา 49 แก้ไขใหม่ ให้กรรมการผู้ชํานาญการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชํานาญการ มีอํานาจตรวจสถานที่และลงตรวจพื้นที่ตั้งของโครงการหรือกิจการที่เสนอขอรับความเห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทุกโครงการ
3. มาตรา 68 พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษเกินมาตรฐานกำหนดตาม ม.55 - 56, 58 นอกจากมีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาแล้ว ในทางแพ่งให้ประเมินค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมผนวกเข้าไปด้วย
4. ให้กรรมการผู้ชํานาญการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชํานาญการ มีอํานาจตรวจสอบและลงพื้นที่ตรวจข้อเท็จจริง ขอบเขตการศึกษาเชิงพื้นที่และเชิงประเด็น ตลอดจนข้อมูลผู้เข้าร่วมเวทีรับฟังความเห็นทุกเวที
5. ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้แบ่งซอยขนานโครงการหรือกิจการที่ต้องทำ EIA ใหม่ให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อป้องกันเจ้าของโครงการฯลดขนานโครงการเพื่อหลีกเลี่ยงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวข้างต้น

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น